น้าเขยยืดอกรับก่อเหตุหลานสะใภ้ และพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง เผยที่ทำไปเพราะโมโห

น้าเขยยืดอกรับก่อเหตุหลานสะใภ้ และพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง เผยที่ทำไปเพราะโมโห หลังพบคู่กรณีทุจริตเงินหลายครั้ง แต่ให้โอกาสกลับตัว สุดท้ายยังทำอีก จึงบันดาลโทสะ ยืนยันชัดไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล
จากกรณีที่โซเชียลโดยเพจชื่อดัง “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ V.3” มีการโพสต์เผยแพร่เรื่องราวที่พี่สาวและแม่ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นลูกจ้างในร้านขายของ ของน้าเขย ถูกน้าเขยทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ช่วงเช้าวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา และต้องถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาตัว ที่ห้องไอซียู รพ.นครพิงค์ ทันที เนื่องจากอาการหนักมีเลือดไหลในสมอง,กรามร้าว และฟันหัก ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังไม่รู้สึกตัว โดยการร้องขอความเป็นธรรมนั้น เนื่องจากหวาดกลัวว่าจะถูกข่มขู่คุกคาม เพราะผู้ก่อเหตุเป็นผู้กว้างขวาง และมีอิทธิพลในพื้นที่ อ.พร้าว วันที่ 27 ต.ค.61 จากการตรวจสอบทราบว่า ผู้ที่ก่อเหตุทำร้ายผู้หญิงคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บสาหัส คือ นายสมฤทัย เมฑมณเทียร อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นน้าเขยของผู้หญิงคนดังกล่าว ที่ยอมรับว่าเป็นผู้ที่ก่อเหตุดังกล่าวจริง รวมทั้งรู้สึกเสียใจอย่างมาก และพร้อมจะรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป โดยนายสมฤทัย เปิดเผยว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเช้าวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ในระหว่างที่ตัวเองพยายามจะสอบถาม น.ส.สุณิสา ดวงจันทร์ หรือ “มิ้น” ผู้บาดเจ็บที่เป็นหลานสาวของภรรยา เกี่ยวกับเงินรายรับรายจ่ายของร้าน ซึ่งตัวเองตรวจสอบพบความผิดปกติ ว่ามีการทุจริตที่ทำมาได้ระยะหนึ่งแล้ว โดยที่ตัวเองมีหลักฐานการกระทำความผิดชัดเจน ว่าเข้าข่ายการยกยอกทรัพย์และลักทรัพย์นายจ้าง แต่เนื่องจากเห็นว่าเป็นลูกหลาน จึงเพียงตักเตือนและได้ให้โอกาส ไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีอย่างไรก็ตาม ในวันเกิดเหตุในระหว่างที่ตัวเองพยายามจะสอบถาม เกี่ยวกับเงินค่าอิฐตัวหนอนที่เป็นอีกธุรกิจหนึ่งของตัวเอง ที่ลูกค้านำเงินมาจ่ายแล้ว ซึ่ง น.ส.สุณิสา อ้างว่านำไปจ่ายเป็นค่ามัดจำสั่งทำวงกบไม้ ทั้งที่ตัวเองเคยสั่งย้ำมาตลอด ว่าเป็นเงินคนละส่วนกันและห้ามนำไปใช้จ่าย โดยไม่แจ้งให้ตัวเองทราบ เพราะเงินค่าอิฐตัวหนอนนั้น เป็นเงินที่ต้องนำมาหมุนเวียนใช้จ่ายเป็นทุน และจ่ายค่าแรงคนงาน รวมทั้งประเด็นสำคัญ ตัวเองตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำเงินไปจ่ายเป็นค่ามัดจำตามที่กล่าวอ้าง จึงต้องการจะสอบถามให้ทราบความจริงว่าเงินอยู่ที่ใด
แต่ปรากฏว่า น.ส.สุณิสา ได้พยายามบ่ายเบี่ยง ด้วยการทำเป็นพูดคุยโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ตัวเองได้พยายามเรียกอยู่นานและหลายครั้ง แต่ก็ยังทำท่าทางไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น จึงทำให้ตัวเองรู้สึกว่าไม่ได้รับความเคารพอย่างที่ควร ทั้งในฐานะน้าเขยและนายจ้าง รวมทั้งเกิดความโมโหและบันดาลโทสะคว้าโทรศัพท์ที่ น.ส.สุณิสา คุยอยู่โยนทิ้ง แล้วทำร้ายร่างกาย น.ส.สุณิสา จนกระทั่งได้สติจึงหยุดแล้วรีบโทรศัพท์แจ้งให้ จนท.ตำรวจทราบ เพื่อเข้าช่วยเหลือ น.ส.สุณิสา ที่ได้รับบาดเจ็บ และหลังจากนั้นตัวเองได้เดินทางไปมอบตัวที่ สภ.พร้าว ด้วยตัวเองด้วย
ทั้งนี้นายสมฤทัย บอกว่า หลังเกิดเหตุรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ก่อเหตุลงไป เพราะ น.ส.สุณิสา เป็นผู้หญิงและมีศักดิ์เป็นหลานสาวของตัวเองด้วย โดยในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไปนั้น พร้อมที่จะยืดอกรับผิดชอบ ทั้งในทางกฎหมายและรับผิดชอบเยียวยาช่วยเหลือ น.ส.สุณิสา อย่างเต็มที่ ซึ่งเบื้องต้นยอมรับว่ายังไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมอาการบาดเจ็บ หรือพบกับทางครอบครัวของ น.ส.สุณิสา แต่ได้ให้ภรรยาที่เป็นน้าสาวไปเยี่ยมและพูดคุยแล้ว
ส่วนที่มีการระบุว่าตัวเองเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และจะข่มขู่คุกคามผู้เสียหายนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะตัวเองเป็นเพียงคนที่ทำมาหากิน เลี้ยงดูครอบครัวด้วยอาชีพสุจริตคนหนึ่งเท่านั้น และไม่มีทางที่จะไปข่มขู่คุกคามผู้เสียหายอย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้ก็รู้สึกเครียดและเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปมากพอแล้ว โดยสามารถไปตรวจสอบ และถามคนในพื้นที่ได้ว่า เป็นความจริงหรือไม่
สำหรับอาการบาดเจ็บของ น.ส.สุณิสา ดวงจันทร์ หรือ “มิ้น” นั้น รายงานข่าวแจ้งว่า ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู รพ.นครพิงค์ โดยมีครอบครัวและญาติเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด แม้ว่าทางแพทย์ที่รักษาจะไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม เนื่องจากผู้ป่วยร่างกายอ่อนแอ และเกรงว่าจะได้รับเชื้อจากภายนอก
ทั้งนี้นางศรีทร ดวงจันทร์ อายุ 58 ปี แม่ของ น.ส.สุณิสา เปิดเผยว่า ขณะนี้อาการของลูกสาวยังได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่รู้สึกตัว แม้จะพบว่ามีการขยับปลายเท้าได้ แต่ยังไม่ลืมตาหรือตอบสนองใดๆ ซึ่งแพทย์ยังห้ามญาติเข้าเยี่ยม เพราะเกรงว่าอาจจะติดเชื้อโรคจากภายนอก ขณะที่ในส่วนของสภาพจิตใจของคนในครอบครัวนั้น ยังคงย่ำแย่อย่างหนัก เป็นห่วงและหวังให้ น.ส.สุณิสา หายกลับมาเป็นปกติโดยเร็วเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังไม่อยากพูดถึง รวมทั้งเรื่องการพูดคุยเจรจากับทางผู้ก่อเหตุ ที่มีภรรยาเป็นน้องสาวของตัวเอง ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมลูกสาวแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่มีการพูดคุยกันในรายละเอียดอื่นๆ โดยสิ่งที่ต้องการเวลานี้ คืออยากจะให้มีการดำเนินการตามกฎหมายในคดี อย่างเป็นธรรมเท่านั้น

ร่วมแสดงความคิดเห็น