ถนนสายที่งามที่สุด ถนนสายต้นยางสารภี

ต้นยางสูงใหญ่ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งเดียวของชาวเชียงใหม่และอำเภอสารภี ยังคงทำให้ที่ในการให้ร่มเงามาตั้งแต่ครั้งโบราณเมื่อกว่าร้อยปี ซึ่งถือได้ว่าถนนสายนี้เป็นถนนสายอารยธรรมล้านนาที่มีชีวิตเป็นมรดกเก่าแก่ที่ทรงคุณค่าแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีใครสักกี่คนทราบถึงประวัติความเป็นมาของต้นยางที่ปลูกเรียงรายสองฟากถนนจากเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่สารภีถนนสายประวัติศาสตร์ที่ว่ากันว่าเป็นถนนสายเดียวที่มีการปลูกต้นยางมากที่สุดในประเทศ ด้วยระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลเมตรจากเชียงใหม่ถึงอำเภอสารภีมีต้นยางขึ้นเรียงรายกว่าหนึ่งพันต้น ซึ่งต้นยางเหล่านี้ล้วนผ่านวันเวลาและเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย กระทั่งต้นยางได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของถนนสายนี้ไปแล้ว

ในสมัยก่อนอำเภอสารภีไม่ได้มีชื่อเรียกเหมือนปัจจุบัน ชื่อเดิมของอำเภอนี้คือ “ยางเนิ้ง”ซึ่งน่าจะมีเหตุมาจากต้นยางที่มีลักษณะ “เนิ้ง” หรือ “โน้ม”เข้าหากัน กระทั่งปี พ.ศ. 2472 จึงได้เปลี่ยนชื่ออำเภอยางเนิ้งมาเป็นอำเภอสารภี ตามชื่อของดอกไม้ที่มีแพร่หลายอยู่ในอำเภอนี้ส่วนประวัติของการปลูกต้นยางบนถนนสายประวัติศาสตร์เชียงใหม่ – สารภีนั้นเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2442ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5ซึ่งสยามประเทศได้มีการจัดการปกครองส่วนภูมิภาคจากเมืองประเทศราชมาเป็นรูปแบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงจากรัฐบาลกรุงเทพมาปกครองเชียงใหม่ในเวลานั้นอยู่ในช่วงปลายสมัยเจ้าอินทวโรรส เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 8 รัฐบาลส่วนกลางก็ยกเลิกอำนาจการปกครองของเจ้าหลวงให้ข้าหลวงประจำเมืองทำหน้าที่แทน แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง “เจ้าหลวง”เอาไว้เป็นประมุขของเชียงใหม่

โดยสมัยนั้นเมืองเชียงใหม่อยู่ในความดูแลของ ข้าหลวงสิทธิ์ขาดมณฑลพายัพซึ่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนแรกคือ เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์ (เชยกัลยาณมิตร) ท่านได้นำนโยบายที่เรียกว่า “น้ำต้อง กองต๋ำ”อันหมายถึงนโยบายในการพัฒนาคูคลองร่องน้ำการตัดถนนหนทางและการปรับปรุงถนนหลวงเพื่อให้ความร่มรื่นแก่ชาวบ้านที่สัญจร ไปมาจึงได้มีการกำหนดให้ทางหลวงแต่ละสายปลูกต้นไม้ไม่ซ้ำกันคือ ถนนในตัวเมืองเชียงใหม่ ให้ปลูกต้นไม้เมืองหนาว ถนนรอบคูเมือง ให้ปลูกต้นสักและต้นสนถนนสายเชียงใหม่ – ดอยสะเก็ด ให้ปลูกต้นประดู่ ถนนสายเชียงใหม่ – หางดงให้ปลูกต้นขี้เหล็ก ถนนสายเชียงใหม่ – สารภี ให้ปลูกต้นยางและเมื่อเข้าเขตลำพูนให้ปลูกต้นขี้เหล็ก

สำหรับการปลูกต้นยางสารภีนั้น เริ่มต้นปลูกอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ.2465 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6ซึ่งจากการสอบถาม จ.ส.อ.พรรณศักดิ์ คำมงคลข้าราชการบำนาญผู้ซึ่งได้ยินเรื่องราวของการปลูกต้นยางมาจากกำนันมานิต คำมงคลซึ่งท่านเป็นกำนันตำบลปากกองและมีศักดิ์เป็นลุง ท่านได้เล่าว่าในการปลูกต้นยางสมัยนั้นจะเกณฑ์ชาวบ้านที่ยากจนไม่มีเงินเสียภาษีให้รัฐกับชาวบ้านที่ไม่อยากจะเป็นทหาร ให้มาปลูกต้นยางตั้งแต่บ้านหนองหอยจนมาถึงแดนเมืองโดยจะให้ชาวบ้านรับผิดชอบดูแลรดน้ำต้นยางคนละประมาณ 4 – 5ต้น ถ้าหากพบว่าต้นยางที่ตนรับผิดชอบตายก็จะต้องนำต้นยางมาปลูกใหม่ ขณะเดียวกันพ่อใจ เขียวคำ อดีตกำนันตำบลยางเนิ้ง ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 80 ปีได้เล่าว่า ต้นยางบนถนนสายเชียงใหม่ – สารภีปลูกมาก่อนที่ท่านจะเกิดประมาณ 10 ปีในสมัยนั้นทางราชการได้เกณฑ์ชาวบ้านในหมู่บ้านต่าง ๆ ไปปลูกต้นยางโดยบ้านต้นเหียวเดิมเป็นหมู่บ้านปากกอง ได้มีชาวบ้านถูกเกณฑ์ให้ไปปลูกต้นยาง จำนวน86 ต้น ซึ่งไม่ได้มีการปลูกในหมู่บ้านแต่ได้เกณฑ์ให้ไปปลูกบริเวณถนนซูเปอร์ปัจจุบันพ่อใจ เขียวคำ ยังเล่าอีกว่าเมื่อปลูกเสร็จก็ได้มีการมอบหมายให้ชาวบ้านไปรดน้ำเป็นประจำสมัยนั้นเมื่อเวลาที่ตนเดินไปโรงเรียนยุพราชในเมืองเชียงใหม่ก็ได้อาศัยร่มเงาของต้นยางบังแดดบังฝน

พ่ออุ้ยทา แก้วมีสีชาวบ้านอำเภอสารภีเล่าย้อนถึงอดีตต้นยางว่าเมื่อสมัยที่เป็นเด็กท่านเห็นปู่ทวดเป็นคนปลูกซึ่งขณะนั้นสภาพของถนนสายนี้มีลักษณะเหมือนอยู่กลางทุ่งนา จนเมื่ออายุได้ประมาณ 7 – 8 ขวบก็ได้ไปรดน้ำต้นยางที่ปู่ทวดเป็นคนปลูกซึ่งตอนนั้นต้นยางมีความสูงท่วมศรีษะของท่านแล้ว “แต่ก่อนครอบครัวได้รับมอบหมายให้ดูแลต้นยางจำนวน 5 ต้น ซึ่งได้มีการจ้างกันดูแลต้นยางสมัยนั้นค่าจ้างประมาณคนละ 8 สตางค์เมื่อเทียบกับค่าเกี่ยวข้าวในสมัยเดียวกันก็ตกประมาณ 12สตางค์ ต้นยางที่ปลูกบนถนนสายเชียงใหม่ – สารภีนั้น คือ “ต้นยางนา” ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เป็นไม้สงวนประเภท ข จากบันทึกของปิแอร์ โอร์ตนักเดินทางชาวเบลเยี่ยมที่เดินทางเข้ามาในสยามประเทศ สมัยรัชกาลที่ 5 และท่านได้บันทึกการเดินทางไว้ในหนังสือ “ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง”เรียบเรียงโดย พิษณุ จันทร์วิทัน กล่าวว่า “ถนนจากเชียงใหม่ไปลำพูนซึ่งข้าพเจ้าเคยกล่าวถึงด้วยความชื่นชมนั้น มิได้มีสิ่งใดพิเศษเป็นเพียงเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาใต้ต้นไม้สูงหรือป่าไผ่มีธารน้ำไหลผ่านหลายแห่ง” อย่างไรก็ ตาม แม้ว่าวันเวลาของต้นยางจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงความพยายามที่จะขยายแนวถนนสายเชียงใหม่ – สารภีของภาครัฐกระทั้งก็ยังมีกลุ่มคนที่เห็นคุณค่าความสำคัญของประวัติศาสตร์ต้นยางด้วยการรวมกลุ่มในการอนุรักษ์ต้นยางเพื่อไม่ให้เอกลักษณ์อันทรงคุณค่าประจำอำเภอสารภีนี้สูญหายไป ภายใต้ชื่อ “ชมรมคนฮักต้นยาง”

ร่วมแสดงความคิดเห็น