“น้ำตกตาดหมอก” มหัศจรรย์แห่งน้ำตกดอยสะเก็ด

ระหว่างเส้นทางจากอำเภอดอยสะเก็ดมุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงรายประมาณ 10 กิโลเมตรมีทางแยกขวามือไปอำเภอแจ้ห่มจังหวัดลำปาง เส้นทางในช่วงนี้คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ของตำบลเทพเสด็จ ซึ่งจุดหมายปลายทางในการเดินทางของเราในวันนั้น

อยู่ที่ “น้ำตกตาดหมอก” น้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยงามแห่งหนึ่งของอำเภอดอยสะเก็ด ที่สำคัญน้ำตกแห่งนี้อยู่ในป่าลึก การเดินทางขึ้นไปยากลำบากจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่น้ำตกตาดหมอกยังคงรักษาความสมบูรณ์สวยงามเอาไว้ได้

ก่อนเข้าไปยังน้ำตกตาดหมอกเราแวะที่หมู่บ้านปางไฮ ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งของตำบลเทพเสด็จ หมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นชื่อในด้านการทำไม้กวาด จนถึงขนาดมีการตั้งเป็นกลุ่มแม่บ้านผลิตไม้กวาดขึ้น ว่ากันว่าไม้กวาดที่ทำจากหมู่บ้านปางไฮนี้มีลักษณะพิเศษคือก้านของไม้กวาดทำมาจากไม้เหียนซึ่งมีน้ำหนักเบา นางศรีวรรณ ญาติฝูง ประธานกลุ่มแม่บ้านบอกว่า ที่บ้านปางไฮมีการตั้งเป็นกลุ่มแม่บ้านเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยชาวบ้านจะนำเอา “ตองก๋ง” ซึ่งเป็นหญ้าชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาทำไม้กวาดและขึ้นอยู่อย่างมากมายในบริเวณหมู่บ้าน นำมาตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำมามัดรวมกันและใช้เชือกไนลอนมัดอีกครั้งหนึ่ง ประธานกลุ่มยังบอกอีกว่า ทุกวันจะมีพ่อค้าขึ้นมารับซื้อไม้กวาดถึงหมู่บ้าน เพื่อนำไปจำหน่ายยังจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน

ใครจะรู้ว่านอกจากการทำไม้กวาดอย่างเป็นล่ำเป็นสันของชาวบ้านในหมู่บ้านแล้ว แต่ละบ้านยังมีการปลูกกาแฟและทำกาแฟสำเร็จรูปอีกด้วย นางศรีจุม จักรแก้ว ประธานกลุ่มแม่บ้านแปรรูปกาแฟบ้านปางไฮบอกว่า เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วทางโครงการหลวงได้เข้ามาส่งเสริมการปลูกกาแฟของชาวบ้านแทนการปลูกเมี่ยง โดยในช่วงเริ่มทดลองปลูกมีชาวบ้านเข้าร่วมไม่กี่หลังคา จนปัจจุบันมีชาวบ้านเกือบทุกหลังคาหันมาปลูกกาแฟกันมากขึ้น เพราะราคาที่สูงและยังเป็นที่ต้องการของตลาดซึ่งกาแฟที่ชาวบ้านปลูกคือสายพันธุ์ “อาราบีก้า” เป็นกาแฟที่มีรสชาติหอมและมีผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก

แทบทุกบ้านจะใช้พื้นที่บริเวณหลังบ้านทำเป็นสวนกาแฟ ประธานกลุ่มบอกอีกว่า ต้นกาแฟที่ปลูกแต่ละต้นใช้เวลาให้ผลผลิตนานถึงสิบปี เมื่อเริ่มปลูกวันนี้อีกสามปีถึงจะให้ผลจากนั้นกาแฟก็จะออกผลตลอดทุกปี ถ้าหากต้นไหนอายุเกินสิบปีแล้วก็จะแก่และไม่ค่อยมีลูก การแปรรูปกาแฟของกลุ่มแม่บ้านปางไฮจะนำกาแฟที่เก็บจากต้นมาโม่เอาเปลือกชั้นนอกออก จากนั้นนำไปแช่น้ำ 2 คืนเพื่อให้น้ำยางของกาแฟออกแล้วจึงนำมาตากแดดให้แห้งอีก 5-6 วัน เมื่อเมล็ดกาแฟแห้งดีแล้วก็นำไปคั่วในกระทะต่ออีก 4-6 ชั่วโมงจนเมล็ดสุกและเป็นสีดำ แล้วจึงนำเข้าเครื่องบดบรรจุภัณฑ์

หลังจากที่เราลองลิ้มชิมรสอันหอมหวานของกาแฟอาราบีก้าแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกตาดหมอกซึ่งเป็นน้ำตกที่สวยงาม ปัจจุบันทางอำเภอดอยสะเก็ตกำลังจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอ เราแวะทานมื้อกลางวันที่โรงเรียนแม่ตอน เพราะต่อจากนี้ไปการเดินทางเข้าน้ำตกตาดหมอกจะใช้เวลาหลายชั่วโมง

น้ำตกตาดหมอกเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูง 10 เมตรชั้นที่สองสูง 80 เมตร การเดินทางเข้าไปยังน้ำตกแห่งนี้ค่อนข้างยากลำบากจากถนนในหมู่บ้านปางไฮแยกเข้าน้ำตกประมาณ 2 กิโลเมตรแล้วเดินเท้าอีกประมาณ 700 เมตรทางเดินในช่วงนี้ยากลำบากเพราะเป็นป่ามีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมสูงประมาณ 1 เมตร ทางเดินเข้าไปยังน้ำตกลัดเลาะไปตามลำธารที่ไหลมาจากน้ำตกบางช่วงต้องข้ามลำธาร บางช่วงต้องไต่ความสูงของไหล่เขาที่เมื่อเวลาโดนน้ำฝนจะลื่น ความสวยงามของผืนป่าระหว่างสองข้างทางดูเขียวขจีสมบูรณ์ ชุ่มชื่น สภาพป่ายังไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์มากนัก สังเกตว่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาตลอดเส้นทาง บางครั้งภายใต้เงาคลึ้มของไม้ใหญ่ก่อให้เกิดพืชพันธุ์ชนิดเล็กจำพวก มอส เฟริน์ เกาะอยู่ตามโขดหินและเปลือกไม้ จนผู้มาเยือนอดไม่ไหวต้องหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาบันทึกภาพ

เราใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงน้ำตกตาดหมอก สายน้ำที่ไหลรินออกมาจากแนวหน้าผาสูงก่อให้เกิดละอองฝอยของสายน้ำกระทบกับแสงแดดยามบ่ายทำให้เกิดสายรุ้งทอประกาย โดยไม่รอช้าด้วยสัญชาตญาณของผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพทำให้ผมกดชัตเตอร์บันทึกความสวยงามของน้ำตกตาดหมอกโดยไม่เหลือฟิลม์ไว้บันทึกภาพใดใดอีก

แม้ในช่วงที่เรากำลังสาระวนกับการหามุมบันทึกภาพต้องผจญทั้งสายฝนที่โปรยปรายลงมา และที่สำคัญเจ้าตัวดูดเลือด เจ้าถิ่นตัวสำคัญที่คอยออกมาต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเราทำให้คณะของเราต้องคอยระแวดระวังทุกฝีก้าว แต่ก็ไม่วายที่พวกเราจะต้องบริจาคเลือดให้กับเจ้าถิ่นไปคนละหยดสองหยด เป็นอันว่ากว่าจะได้มาซึ่งความสวยงามของน้ำตกตาดหมอกก็ต้องแลกกับการบริจาคเลือดให้กับเจ้าทาก สัตว์ตัวเล็กกระจ่อยร่อยแต่ทำให้มนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทรนงอย่างเราต้องหวาดระแวงไปตามกัน

ตลอดการเดินทางในวันนั้นบทสนทนาของคณะของเราได้แต่พรรณาถึงความสวยงามของน้ำตกตาดหมอก และสัญญาว่าหากมีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกครั้ง “ตาดหมอกมหัศจรรย์แห่งน้ำตก”

บทความโดย
จักรพงษ์  คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น