หากคิดอยากจะมีบ้านได้สักหลังนั้น มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเลือกซื้อ ทั้งราคา ทำเลที่ตั้ง และไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน
วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะมาบอกขั้นตอนการเลือกซื้อบ้านที่เหมาะสมกับตัวเราเพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อได้ถูกต้อง
ราคาบ้านมีความเหมาะสม
การผ่อนบ้านเป็นภาระหนี้ระยะยาว ปัจจัยด้านราคาจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในการเลือกซื้อบ้าน โดยพิจารณาความสามารถในการหารายได้ของตัวเอง ว่ารายได้เราเหมาะแก่การผ่อนบ้านในราคาไหน ทั้งนี้ต้องมั่นใจได้ว่า เราต้องสามารถผ่อนบ้านได้หมดตลอดรอดฝั่ง
ทำเลที่ตั้งที่เหมาะกับการใช้ชีวิต
คุณต้องเลือกบ้านที่สามารถตอบโจทย์การไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคุณได้ เช่น ถ้าหากคุณรักความสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบรถติด ก็หาซื้อบ้านแถบชานเมือง หรือหากคุณชอบความเจริญ ก็เลือกบ้าน หรือคอนโดฯ ที่อยู่ในเมือง
มีสิ่งอำนวยความสะดวกและส่วนกลาง ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งอำนวยความสะดวกและส่วนกลางที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ เป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเลือกซื้อบ้าน ดังนั้นเราจึงต้องศึกษาข้อมูลก่อนว่า บ้านที่เราจะซื้อนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์ของเราหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ในตัวบ้าน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในส่วนกลาง เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ สนามกีฬาต่างๆ ฯลฯ
รีวิวบ้านจากผู้อยู่อาศัยจริง
ควรอ่านรีวิวจากผู้อยู่อาศัยจริง เพื่อให้รับทราบถึงภาพรวมตามความเป็นจริงของตัวบ้าน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การตัดสินใจเลือกซื้อบ้านในโครงการที่ต้องการ
ชมบ้านตัวอย่างของโครงการ
หากเลือกบ้านที่สนใจได้แล้ว ก็ควรที่จะไปชมบ้านตัวอย่าง ซึ่งหลายๆโครงการจะมีพนักงานขายอยู่สำนักงานขายอยู่แล้ว เพื่อให้ข้อมูลและพาลูกค้าไปชมบ้านตัวอย่างในแบบบ้านที่ต้องการ แต่หากมีบ้านจริงที่สร้างเสร็จแล้วก็ควรที่จะไปดูบ้านจริงมากกว่า เพื่อให้เห็นภาพรวม ว่าตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ เป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการตัดสินใจซื้อบ้าน
ทำความรู้จัก “เงินดาวน์”
เงินดาวน์ เป็นเงินที่ผู้ซื้อเตรียมจ่ายเอง จากส่วนที่ไม่สามารถขอกู้จากธนาคารได้ ซึ่งในปัจจุบัน มีหลายโครงการที่สามารถผ่อนดาวน์เป็นงวดในแต่ละเดือนได้ ทำให้ผู้ซื้อหลายคนเลือกที่จะผ่อนดาวน์กับทางโครงการ ระหว่างรอทำเรื่องยื่นกู้กับทางธนาคาร เพื่อจ่ายในส่วนที่เหลือ แต่ส่วนมากมักเป็นโครงการที่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ และควรระวังหลังจากผ่อนดาวน์กับทางโครงการแล้ว ไม่สามารถทำตามข้อกำหนดต่างๆ ของโครงการได้ จะถูกยึดเงินไปฟรีๆ ดังนั้นก่อนตัดสินใจจะทำสัญญาซื้อบ้าน ควรอ่านข้อกำหนดต่างๆให้ชัดเจนเสียก่อน
ทำความรู้จัก “เงินผ่อน”
ซื้อเงินผ่อน เป็นการผ่อนชำระการซื้อบ้านกับทางธนาคาร ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารจะอนุมัติเงินกู้ให้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขายบ้าน ทำให้ผู้ซื้อต้องจ่ายเองอีก 20% หรือที่เรียกว่าเงินดาวน์ ทั้งนี้การซื้อเงินผ่อนเป็นภาระหนี้ระยะยาว ผู้ซื้อควรวางแผนเลือกข้อเสนอของแต่ละแห่งก่อนตัดสินใจกู้
สรุปเรื่องเงินดาวน์และเงินผ่อน
เงินดาวน์เป็นเงินก้อนแรกที่จ่ายให้กับทางโครงการ ระหว่างที่รอยื่นกู้กับทางธนาคารเพื่อจ่ายค่าซื้อบ้านในส่วนที่เหลือนั่นเอง
ขั้นตอนการขอกู้เงินซื้อบ้าน
หลังจากเลือกบ้านได้แล้ว การจะมีบ้านสักหลัง จะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป เพราะมีสถาบันการเงินหลายแห่ง พร้อมจะให้คุณกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้าน เพียงแค่คุณต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาตามที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งได้กำหนดไว้ วันนี้เราจึงสรุป 6 ขั้นตอนการขอกู้ซื้อบ้านมาให้
1.ติดต่อฝ่ายสินเชื่อบ้าน
เริ่มจากการยื่นเอกสารขอกู้เงินกับฝ่ายสินเชื่อบ้านหรือสินเชื่อเคหะของแต่ละธนาคารที่ยื่นกู้ โดยหลักๆ แล้วเอกสารที่ต้องใช้ประกอบด้วย
- บัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรข้าราชการ
- ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
- สำเนาทะเบียนสมรส/หย่า/มรณะบัตร/ใบแจ้งความแยกกันอยู่ (ถ้ามี)
- ใบเปลี่ยนชื่อ หรือชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- กรณีประกอบอาชีพประจำ จะต้องแสดงหนังสือรับรองเงินเดือน / สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน / สมุดบัญชีเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน
- กรณีประกอบอาชีพสระ จะต้องแสดงบัญชีเงินฝาก 12 เดือน และฐานการเงินอื่น ๆ
- กรณีเป็นเจ้าของธุรกิจ จะต้องแสดงสำเนาทะเบียนการค้า / รายชื่อผู้ถือหุ้น / รายการเดินบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 12 เดือน / สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี / หลักฐานการเสียภาษี / รูปถ่ายกิจการ
- สำเนาสัญญาการซื้อขาย /สัญญาวางมัดจำ / สัญญาเช่าซื้อการเคหะ และหนังสือรับรองยอดคงเหลือ (กรณีซื้อ)
- สำเนาสัญญากู้เงิน และสำเนาสัญญาจำนองกับสถาบันการเงินเดิม (กรณีไถ่ถอนจำนอง)
- ใบเสร็จการผ่อนชำระหรือบัญชีหมุนเวียน ย้อนหลัง 1 หรือ 2 ปี (กรณีไถ่ถอนจำนอง)
- หลักฐานการเป็นเจ้าของอาคาร
- สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับกรมที่ดิน
- สำเนาโฉนดที่ดิน / นส.3ก / หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด / อช.2 ทุกหน้า
- ใบอนุญาตปลูกสร้าง / ต่อเติม
- แบบแปลน
- ใบประมาณการปลูกสร้าง / สัญญาว่าจ้างก่อสร้าง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่งด้วย อีกทั้งหากยื่นเอกสารไม่ครบ จะทำให้การวิเคราะห์อนุมัติล่าช้าออกไป และหลังจากยื่นกู้เงินแล้วต้องชำระค่าธรรมเนียมในการประเมินราคาหลักประกัน
2.สำรวจและประเมินราคาบ้านและที่ดิน
ถ้าหากยื่นเอกสารกู้เรียบร้อยแล้ว ธนาคารจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจประเมินราคาบ้านและที่ดิน ที่ได้มาเป็นหลักค้ำประกัน โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาอยู่ 2-7 วันในการตรวจสอบ ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร
3.ธนาคารพิจารณาคำขอกู้
ธนาคารจะเป็นผู้พิจารณาการขอกู้ โดยการวิเคราะห์จากรายได้ ความสามารถในการผ่อนชำระ หลักประกัน และภาระหนี้ค่าใช้จ่ายต่อเดือน โดยส่วนมากจะคิดจาก 40% ของรายได้ทั้งหมดในแต่ละเดือนของผู้ขอเงินกู้
4.ลงนามในสัญญาเงินกู้ และสัญญาจำนอง
เมื่อคำขอกู้เงินที่กำลังพิจารณาได้ผ่านการอนุมัติแล้ว เจ้าหน้าที่จะทำการติดต่อเพื่อมาเซ็นสัญญาในการกู้เงินและสัญญาจำนอง และนัดผู้ขอกู้ ไปทำนิติกรรมที่สำงานงานที่ดิน
5.โอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองที่สำนักงานที่ดิน
ในวันที่โอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง ผู้กู้ ผู้ขาย และเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงิน จะไปพร้อมกัน ณ สำนักงานที่ดินที่หลักทรัพย์ตั้งอยู่ โดยผู้กู้จะต้องจ่ายค่าจดทะเบียนจำนองร้อยละ 1 ของวงเงินกู้ และชำระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ร้อยละ 2 ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน ซึ่งปกติแล้วผู้ขายมักจะเป็นคนจ่าย ยกเว้นตกลงกันเป็นอย่างอื่น
6.รับเงินกู้
เมื่อเสร็จทุกขั้นตอนแล้ว เจ้าหน้าที่ธนาคารจะทำการจ่ายเงินกู้ให้กับคุณเป็นแคชเชียร์เช็ค เพื่อจ่ายเงินคงเหลือหลังจากการดาวน์ให้แก่เจ้าของโครงการหรือผู้ขายต่อไป และเมื่อหลังจากที่ได้รับเงินกู้แล้ว คุณจะต้องมีภาระในการผ่อนชำระงวดทุกเดือนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญา
ขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงเทพ
หากมีข้อมูลแบบนี้แล้ว ก็พอจะเป็นแนวทางสำหรับก็เลือกซื้อบ้านหลังแรกของหลายๆคนได้ เพียงแค่ศึกษาข้อมูลบ้านแต่ละโครงการ และเลือกตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรา ก็มีสถาบันการเงินอีกหลายแห่งที่พร้อมจะปล่อยเงินกู้สำหรับการซื้อบ้านให้กับคุณ
สนับสนุนโดย “หมู่บ้านแสนสิริ” และ “หมู่บ้านกาญกนก”
เรียบเรียงโดย: “เชียงใหม่นิวส์”
ร่วมแสดงความคิดเห็น