“ตะคริว” สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้คนมามากมาย และคงมีน้อยคนนัก ที่เกิดมาไม่เคยเป็นตะคริวเลย หลายคนคงทราบว่าตะคริวเกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งกะทันหัน แต่รู้หรือไม่ สาเหตุจริง ๆ ของตะคริวที่เกิดกับเราคืออะไร
วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะมาเล่าเรื่อง ตะคริว และวิธีการรับมือ ให้ฟัง
ตะคริวคืออะไร
ตะคริว เกิดจากการหด และเกร็งตัว ของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง ในร่างกายอย่างกระทันหัน พบมากที่สุดคือตะคริวที่กล้ามเนื้อน่อง รองลงมาคือ กล้ามเนื้อเท้า และกล้ามเนื้อต้นขา เมื่อกล้ามเนื้อบีบตัวแน่น แทบจะไม่สามารถขยับเขยือนได้เลย แม้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ซึ่งการสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ หากเกิดขึ้นตอนที่ร่างกาย ต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น ในขณะว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬาโลดโผน ตะคริวถือเป็นหนึ่งในภัยร้าย ที่สามารถคร่าชีวิตเราได้รวดเร็ว ไม่แพ้โรคติดต่อชนิดอื่น ๆ เลย
สาเหตุการเกิดตะคริว
1.สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ มวลกล้ามเนื้อจึงลดลง
2.การใช้งานกล้ามเนื้อเกินกำลัง เช่น เล่นกีฬาหนัก การยกของหนัก หรือมีการงานอาชีพที่ต้อง ยืน เดิน นาน ๆ
3.เกลือแร่ในร่างกายเสียสมดุล โดยเฉพาะ เกลือแร่ชนิดโซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ซึ่งเกิดได้จากท้องร่วง อาเจียน เสียเหงื่อมาก เล่นกีฬา หรืออยู่ท่ามกลางอากาศร้อน
4.อุณหภูมิของร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจากร้อนเป็นเย็น หรือจากเย็นเป็นร้อน
5.ดื่มน้ำน้อย ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ ส่วนใหญ่มักเกิดในผู้สูงอายุ
6.อายุมากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้น เซลล์ทุกชนิดของร่างกายจะเสื่อมถอย รวมทั้งเซลล์กล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงพบอาการนี้ในผู้สูงอายุได้บ่อย
7.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดการขับน้ำ ออกทางปัสสาวะมากขึ้น ร่างกาย และกล้ามเนื้อจึงขาดน้ำ
8.เป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเรื้อรัง ที่เกี่ยวกับความผิดปกติของกระดูกสันหลัง และไขสันหลัง จึงส่งผลให้ระบบประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อผิดปกติ โรคช่องกระดูกสันหลังตีบ เป็นโรคหลอดเลือดส่วนปลายแข็ง จึงส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี กล้ามเนื้อจึงขาดเลือด เป็นต้น
9.ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การที่กล้ามเนื้อหดเกร็งอาจเป็นผลข้างเคียงมาจากการรับประทานยาบางกลุ่ม เช่น กลุ่มยาระงับอาการทางจิต ยาคุมกำเนิด ยาขับปัสสาวะ ยาสลายไขมันในเลือด และสเตอรอยด์
การรับมือกับตะคริว
1.ยืดกล้ามเนื้อและนวด
ตะคริวที่ต้นขาหน้า: ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง หรือนอนคว่ำหน้าลงบนพื้น จากนั้นใช้มือพับขาข้างที่ปวดเข้าหาตัวจากทางด้านหลัง กล้ามเนื้อบริเวณหน้าขาจะรู้สึกตึง ยืดค้างไว้จนกว่าอาการปวดจะหาย
ตะคริวที่ต้นขาด้านหลัง: นอนหงาย และเหยียดขาขึ้นในมุมตั้ง จากนั้นงอข้อเท้าเข้าหาตัว แล้วใช้มือดึงขาข้างที่ยกเข้าหาตัว ให้มากที่สุดจนรู้สึกตึง ดึงค้างไว้จนกว่าอาการปวดจะหาย
ตะคริวที่น่อง: นั่งลงบนพื้น และเหยียดขาไปด้านหน้าให้ตรง จากนั้นใช้มืองอปลายเท้าเข้าหาตัวจนรู้สึกตึงที่บริเวณน่อง ควรทำค้างไว้จนกว่าจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อจะคลายตัวแล้ว
หลังจากที่อาการปวดทุเลาลง หรือหายไปแล้ว ให้นวดเบา ๆ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวเร็วขึ้น
2.วิธีประคบร้อน และประคบเย็น
ประคบร้อน: ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น หรือแผ่นประคบร้อน กดลงไปในบริเวณที่ปวด ความร้อนจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้เร็วขึ้น
ประคบเย็น: ใช้น้ำแข็ง หรือแผ่นเจลแช่แข็ง ประคบไว้ในบริเวณที่ปวด โดยมีผ้าสะอาดขั้นระหว่างอุปกรณ์ประคบเย็น และผิวหนัง การประคบเย็น จะช่วยให้รู้สึกชา และบรรเทาอาการปวดลงได้
3.การรับมือตะคริวด้วยวิธีอื่นๆ
รับประทานยาแก้ปวด: รับประทานตามที่ระบุไว้บนฉลาก หรือตามที่แพทย์จัดไว้ให้ ในกรณีที่เป็นตะคริวบ่อยครั้ง และได้เคยปรึกษาแพทย์แล้ว
ดื่มน้ำให้มาก: น้ำ และเครื่องดื่มสำหรับการเล่นกีฬา ก็สามารถคลายตะคริวได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของเกลือแร่
การป้องกันการเกิดตะคริว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างพอดี ไม่หักโหม
- ฝึกยืดเหยียด (Stretching) โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่เกิดตะคริวบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการทำงาน หรือกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อเกินกำลัง เช่น ยกของหนัก
- ถ้าออกกำลังกายหนัก ควรดื่มน้ำ และเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ
- กินอาหารที่มีวิตามิน และเกลือแร่ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น กล้วย
- ผู้สูงอายุ ควรค่อย ๆ ขยับแขนขาอย่างช้า ๆ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศเย็นมาก และควรสวมถุงเท้าขณะนอน เพื่อป้องกันการเกร็งของเท้า
สรุป
“ตะคริว” สามารถเกิดได้กับทุกวัย ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้สูบบุหรี่จัด แต่พบบ่อยในนักกีฬาที่ออกกำลังหนัก หรือมากเกินไป แต่ตะคริวจะไม่น่ากลัวเลย หากเกิดขึ้นบนบก แต่หากเกิดขึ้นในน้ำ คงยากที่จะช่วยเหลือตัวเอง ทางที่ดีเราควรป้องกันการเกิดตะคริวจะดีกว่าค่ะ
เรียบเรียงโดย : “เชียงใหม่นิวส์”
อ้างอิงข้อมูลจาก
www.goodlifeupdate.com
www.honestdocs.co
บทความที่เกี่ยวข้อง
สุขภาพผู้สูงอายุ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย
“ประคบร้อน-ประคบเย็น” ต่างกันอย่างไร? อาการแบบไหนต้องประคบร้อนหรือเย็น
ร่วมแสดงความคิดเห็น