ญาติสาวพริตตี้เหยื่อนวดที่ช็อกหมดสติและแท้งลูก โวย รพ.ไล่กลับไปตายบ้าน

น้าชายพริตตี้ท้อง6เดือนเหยื่อนวดเท้าช็อกหมดสติแท้งลูก เผยหลานสาวยังนอนชักไม่รู้สึกตัว แต่ รพ.เอกชนชื่อดัง บอกอาการดีขึ้นแล้วหน้าตาเฉย พร้อมผลักไสให้รับตัวกลับบ้าน อ้างรักษาเต็มวงเงินประกันสังคม หากอยู่ต่อต้องจ่ายเอง เชื่อเหมือนส่งให้กลับไปตายที่บ้าน

จากกรณีนางสาววิราวรรณ เกษเกษี อายุ 26 ปี สาวท้อง 6 เดือน ช็อคหมดสติและแท้งลูก จากการเข้าไปใช้บริการนวดเท้าที่ร้านนวดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 11 ม.ค.62 และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ต้องมีสภาพไม่ต่างจากเจ้าหญิงนิทรานั้น นายชัยวัฒน์ คำยา อายุ 54 ปี น้าของนางวิราวรรณ เปิดเผยว่า ล่าสุดอาการของนางสาววิราวรรณ มีแต่ทรงกับทรุด โดยครอบครัวและญาติยอมรับสภาพว่าไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้อย่างแน่นอน เพราะสมองน่าจะตายไปหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่แท้งลูกและตัวนางสาววิราวรรณต้องปั๊มหัวใจถึง 3 รอบ ให้กลับมาหายใจ แต่ขาดอากาศไปเลี้ยงสมองเป็นเวลานาน

ขณะเดียวกัน นายชัยวัฒน์ เปิดเผยว่า จากการไปเยี่ยมอาการของหลานสาวล่าสุด พบว่าทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลไม่ได้ให้ความใส่ใจดูแลคนป่วยอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังพยายามผลักไสให้นำตัวนางสาววิราวรรณกลับไปรักษาตัวที่บ้านด้วย โดยบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว ซึ่งขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงที่นางสาววิราวรรณ ยังนอนชักตลอดเวลา และต้องมัดแขนมัดขาไว้กับเตียงด้วย รวมทั้งต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจด้วย ซึ่งประเมินแล้วมองว่าหากแม่ของนางสาววิราวรรณต้องนำตัวกลับไปอยู่ที่บ้านเช่าก็เหมือนกับนำตัวหลานสาวกลับไปตายอย่างเดียว อีกทั้งครอบครัวไม่มีกำลังที่จะดูแลอย่างแน่นอน เพราะนางสาวิราวรรณ เป็นคนหาเงินเพียงคนเดียวเพื่อเลี้ยงแม่ที่แก่แล้วและลูกชาย

ทั้งนี้นายชัยวัฒน์ บอกว่า ทางโรงพยาบาลโดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคนหนึ่งบอกด้วยว่า หากต้องการให้นางสาววิราวรรณ พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไป ทางญาติจะต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เนื่องจากวงเงินคุ้มครองการรักษาตามสิทธิประกันสังคมของนางสาววิราวรรณ เต็มวงเงินแล้ว อย่างไรก็ตามยืนยันว่าจะให้หลานสาวรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไป เพราะเห็นว่าทางโรงพยาบาลเป็นฝ่ายที่พยายามจะยื้อชีวิตของนางสาววิราวรรณ ไว้ ด้วยการชักจูงให้แม่เซ็นชื่อยินยอมให้เจาะคอ ทั้งที่ญาติปฏิเสธตั้งแต่แรกและในตอนแรกญาติยอมรับสภาพว่านางสาววิราวรรณต้องเสียชีวิตแน่และจะปล่อยให้จากไปอย่างสงบ ซึ่งเมื่อยื้อชีวิตไว้แล้วก็ควรจะต้องให้การรักษาต่อไปจนถึงที่สุด ไม่ใช่พอมีค่าใช้จ่ายเกินวงเงินคุ้มครองตามสิทธิประกันสังคมแล้วจะปล่อยให้กลับไปตายที่บ้าน

ส่วนเงินช่วยเหลือเยียวยาที่มีการมอบให้การช่วยเหลือนางสาววิราวรรณ ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น นายชัยวัฒน์ บอกว่า ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นเพิ่งได้รับเงินช่วยเหลือทั้งหมดจำนวน 20,000 บาท เท่านั้น โดยที่ทางหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและคู่กรณีรับปากว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีความคืบหน้าจากการที่มีการนัดไปพูดคุยเจรจากันล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.พ.62 ซึ่งในส่วนของค่ารักษาพยาบาลนั้น ในเมื่อทางโรงพยาบาลแจ้งว่าเต็มวงเงินแล้วก็คงจะต้องให้ทางคู่กรณีเป็นฝ่ายรับผิดชอบ โดยที่ยืนยันว่าจะไม่นำตัวหลาสาวออกจากโรงพยาบาล ขณะเดียวกันกำลังพิจารณาและจะปรึกษาผู้รู้ว่าจะสามารถร้องเรียนหรือดำเนินการใดๆ กับทางโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังได้หรือไม่ ที่พยายามจะผลักไสหลานสาวให้กลับไปตายที่บ้าน.

ร่วมแสดงความคิดเห็น