สุดเศร้า! นักอนุรักษ์ชื่อดังชาวเชียงดาว เปิดใจเกิดมาเกือบ 60 ปี ไฟไหม้ป่าดอยหลวงและหมอกควัน ปีนี้รุนแรงที่สุด

สุดเศร้า! นักอนุรักษ์ชื่อดังคนเชียงดาวโดยกำเนิด เปิดใจตั้งแต่เกิดจนอายุเฉียด 60 ปี ไม่เคยเห็นไฟไหม้ป่าดอยหลวงและหมอกควันรุนแรงเท่าปีนี้ ชี้สถานการณ์เพิ่งเริ่มเลวร้ายในช่วง 10-12 ปีที่ผ่านมา จากการส่งเสริมปลูกข้าวโพด ที่มีการขยายพื้นที่อย่างบ้าคลั่งรุกล้ำไม้เว้นป่าต้นน้ำ

จากสถานการณ์ปัญหาหมอกควันไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐาน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่มีความรุนแรงต่อเนื่องมาตลอดเดือน มี.ค.62 จนย่างเข้าสู่เดือน เม.ย.62 รวมทั้งการเกิดไฟไหม้ป่าในพื้นที่ดอยหลวงเชียงดาว อ.เชียงดาว ที่มีความรุนแรงและเกิดการลุกลามเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ประมาณวันที่ 30 มี.ค.62 ซึ่งทั้งชาวบ้านอาสาสมัคร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ต้องระดมความร่วมมือกันดับไฟ จนกระทั่งวันที่ 2 เม.ย.62 สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ยังคงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่ามาจากการเผาโดยฝีมือมนุษย์

นายนิคม พุทธา อายุ 57 ปี ประธานกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มแม่น้ำปิง แสดงความเห็นว่า ในฐานะที่เกิดและเติบโตที่อ.เชียงดาว สถานการณ์ไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่เชียงดาว โดยเฉพาะดอยหลวงเชียงดาว ปีนี้มีความรุนแรงมากที่สุดที่เคยประสบมาตลอดชีวิต ทั้งนี้พื้นที่ป่าของดอยหลวงเชียงดาวนั้น มีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และมีความเฉพาะตัว มีพืชพรรณและสัตว์ป่าหลายชนิดที่พบเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งไฟไหม้ที่เกิดขึ้นนั้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างมาก

โดยในส่วนของป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ยังสามารถปรับสภาพกลับคืนมาได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของป่าดิบชื้นและป่าดิบเขา ที่มีความสูง 700-800 เมตร จากระดับน้ำทะเลขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบนิเวศเทือกเขาหินปูน ที่มีความสูงเกิน 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล ที่ถูกไฟไหม้ นอกจากสูญเสียพรรณพืชและสัตว์ป่าแล้ว ยังยากที่จะกลับคืนสภาพ ขณะเดียวกันที่สำคัญอย่างยิ่ง ยังเป็นการทำให้สูญเสียความสามารถในการกักเก็บน้ำโดยธรรมชาติของป่าที่เป็นป่าต้นน้ำแม่ปิงด้วย ซึ่งหมายความว่าในปีต่อไป มีความเสี่ยงที่จะเกิดดินถล่มหรือน้ำป่าไหลหลากหากฝนตกหนัก และเกิดความแห้งแล้งหากฝนตกน้อย

ประธานกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มแม่น้ำปิง ระบุว่า การเกิดไฟไหม้ป่าและหมอกควัน เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นมาตั้งแต่เป็นเด็ก อย่างไรก็ตามในอดีตไม่มีความรุนแรงเช่นนี้ โดยสถานการณ์เพิ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงประมาณ 10-12 ปี ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการส่งเสริมการปลูกเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพด ที่มีการขยายพื้นที่ปลูกจากพื้นที่ราบรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่า ไม่เว้นแม้พื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความลาดชันสูง รวมทั้งป่าอุทยาน ป่าสงวน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเห็นว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องมีการทบทวนเรื่องนี้ และแก้ไขปัญหาโดยเร็ว

ทั้งนี้อยากเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารประเทศ ให้พิจารณาเรื่องนี้ ด้วยการควบคุมพื้นที่และการปลูกข้าวโพด ไม่ปล่อยปละละเลยให้มีการปลูกในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ที่นำมาซึ่งความเสียหายที่เกิดกับระบบนิเวศที่ประเมินค่าไม่ได้ อีกทั้งนำไปสู่การก่อปัญหากระทบต่อสุขภาพผู้คนและด้านต่างๆ รวมทั้งเป็นการก่อความขัดแย้งระหว่างกันในเรื่องไฟไหม้ป่าด้วย โดยอยากให้มีการสร้างความมือกันจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

ร่วมแสดงความคิดเห็น