วิถีเกษตรต้นตอฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังจะถูกควบคุมโดย พรบ.อากาศสะอาด
ชาวนากำลังเตรียมทำนาปรังและเกษตรกรปลูกข้าวโพดมีการเร่งเผาตอซังข้าวและตอซังข้าวโพดในหลายอำเภอทำให้ในตอนนี้ค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน เกษตรกรยืนยันว่าจำเป็นต้องทำ เพราะถ้าไม่เร่งเผาจะทำนาปรังไม่ทันชลประทานปล่อยน้ำและทันฤดูเก็บเกี่ยวดังนั้นต้องเร่งกำจัดตอซังให้ทันเพื่อเตรียมเพาะปลูก หลายๆ จังหวัดที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน จึงต้องเฝ้าระวังต้องคอยดูแลกลุ่มเปราะบางเช่น เด็กและผู้สูงอายุ โดยในเขตพื้นที่ภาคเหนือในตอนนี้ 4 จังหวัดที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานก็คือ พิษณุโลกลำปาง ลำพูนและสุโขทัย โดยค่าฝุ่นมากที่สุดอยู่ที่พิษณุโลก อยู่ที่ 51.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถึงแม้ว่าในปัจจุบันเชียงใหม่จะมีปริมาณค่าฝุ่นในระดับกลางเนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนโปรยปรายและอากาศหนาวเย็น แต่นั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวเนื่องจากเชียงใหม่จะมีปัญหาหมอกควันและฝุ่นในช่วงเดือนเมษายนของทุกๆ ปี ในห่วงเวลานับย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมาเชียงใหม่เป็นอีก 1 จังหวัดที่ปัญหาฝุ่นควันเป็นปัญหาอันดับ 1 และเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไข ดังนั้นเชียงใหม่ต้องเตรียมตัวเพื่อรับกับปัญหาของการเผาและฝุ่นอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ ปัญหาการเผาทางการเกษตรไม่ใช่ปัญหาใหม่และยังสร้างมลพิษในอากาศสูง ด้านผู้เผาก็ยืนยันว่าก็มีความจำเป็นต้องเผาเพราะว่าปัจจัยหลายอย่างเป็นตัวบังคับในขณะที่ พรบ.อากาศสะอาด ที่กำลังผลักดันเพื่อที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาฝุ่นควันทั้งประเทศจะมีวิธีการอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาการเผาพื้นที่การเกษตรและเพื่อจะบรรจุลงไปในพรบอากาศสะอาด อาจารย์ชัชวาล ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ได้กล่าวไว้ว่า กฎหมายควบคุมการเผาพื้นที่การเกษตรมันก็มีอยู่แล้วแต่ทำไมทุกวันนี้ก็ยังพบกันเผากันอย่างชัดเจน การใช้กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้หรือว่ายังไง ประเด็นคือมันไม่ตอบโจทย์เกษตรกรที่เขาทำเขาเรียกว่าเกษตรเชิงเดี่ยว เช่น นาข้าว อ้อย ข้าวโพดวิธีการจัดการพวกวัสดุการเกษตรของเขาที่ง่ายและลงทุนต่ำสุด คือ การเผา เราจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ แนวทางที่ 1 คือ ต้องมีนโยบายป้องกัน คือ การแปรรูปไปสู่การมีรายได้ทางเศรษฐกิจ เช่น ตอซังข้าว มันน่าจะไปทำอะไรที่เป็นรายได้ทางเศรษฐกิจได้บ้าง คือ เราจะมาแก้ตอนเผาคงไม่ทันมันต้องเป็นนโยบายเชิงป้องกันและการแปรรูปไม่ว่าจะเป็น ตอซังข้าว อ้อยหรือตอซังข้าวโพด ไปเป็นวัสดุที่เป็นรายได้ทางเศรษฐกิจของเกษตรกรด้วย สิ่งนี้คือสิ่งที่จะต้องทำเป็นอย่างแรก เช่น อัดก้อน อัดแท่ง ทำอาหารสัตว์ ทำเชื้อเพลิง สิ่งเหล่านี้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรฯ ที่น่าจะต้องรับผิดชอบ ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้เน้นกระบวนการป้องกันเหล่านี้ให้ชัดเจน แนวทางที่ 2 ถ้าสมมุติว่าเกิดมาตรการเรื่องราคา เช่นมาตรการเรื่องแรงจูงใจ กลุ่มที่เผาราคาสินค้าต่ำเพราะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่จะต้องนำมาดูแลสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นมาตรการจูงใจทางราคา ว่าถ้าเกิดไม่มีการเผาราคาสินค้าจะสูงถ้าเกิดเผาราคาจะปรับลดลงไปในราคาต่ำ มาตรการสุดท้ายเป็นมาตรการทางกฎหมาย ต้องทำควบคู่กันไป ต้องทำทั้ง 3 อย่างพร้อมกัน มาตรการทางกฎหมายตอนนี้มีการผลักดัน พรบ.อากาศสะอาด มาตรการกฏหมายจะมีการบรรจุหรือว่าปรับปรุงใหม่อะไร พรบ.อากาศสะอาด ใส่ลงไปเป็นเนื้อหาถ้า พรบ. นี้สำเร็จขึ้นมา มาตรการทางกฎหมายลงโทษอันนี้ต้องชัดเจน แต่ว่าระดับจะแบ่งเป็นหลายส่วน 1. กลุ่มที่ปล่อยมลพิษในกิจการที่ทำกำไร อย่างเช่นโรงงาน รถบรรทุกขนส่ง ถือว่าเป็นธุรกิจสร้างกำไรจะต้องรับผิดชอบ 2. ผู้ปล่อยที่ทำเป็นวิถีชีวิตประจำวัน เช่น ขับรถยนต์หรือว่าทำกินแบบใช้วิธีปกติ จะอยู่ในกลุ่มกลาง กลุ่มที่อยู่ในป่าและได้รับผลกระทบค่อนข้างสูงแล้วก็มีส่วนร่วมในการลุกขึ้นมาดูแลป่าจะต้องมีมาตรการที่ทำให้เกิดความเป็นธรรม 3. กลุ่มเปราะบาง หรือผู้ทุกกระทำ โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ คือ 1. คณะกรรมการเพื่อการจัดการอากาศสะอาด กำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนเชิงนโยบายและเชิงวิชาการ และการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ดังนี้ คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ โดยมีหน้าที่และอำนาจในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งมี รมว.ทส. เป็นประธานกรรมการ โดยมีหน้าที่และอำนาจในการขับเคลื่อนเชิงวิชาการ และคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ และ คณะกรรมการอากาศสะอาดพื้นที่เฉพาะ ซึ่งจะแต่งตั้งเมื่อพบว่ามีสถานการณ์และระดับมลพิษทางอากาศในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นการเฉพาะ โดยมีหน้าที่และอำนาจในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ 2. ระบบการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดของประเทศ […]