1985

ธปท.สภน. จับมือ บสย. จัดสัมมนา “เสริมแกร่ง SMEs” จังหวัดน่าน

ธปท.สภน. จับมือ บสย. จัดสัมมนา “เสริมแกร่ง SMEs” จังหวัดน่าน พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในพื้นที พร้อมยกระดับความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00 น. ที่ น่านกรีนเลควิว รีสอร์ท อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นางพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ (ธปท.สภน.) พร้อมด้วย นางผกามาศ สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายส่งเสริมลูกค้าและพัฒนาผู้ประกอบการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยภาคเหนือ ประธานหอการค้าจังหวัดน่าน ประธาน YEC กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ จังหวัดน่าน ร่วมจัดงานสัมมนา “เสริมแกร่ง SMEs” โดยมีผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่จังหวัดน่าน สมาชิกหอการค้าจังหวัด อาจารย์ นักศึกษา และประชาชนผู้ที่สนใจทำธุรกิจกว่า 150 ราย เข้าร่วมสัมมนาฯ ธนาคารแห่ง ประเทศไทย […]

เศรษฐกิจภาคเหนือ ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ (ธปท. สภน.) โดยคุณพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส แถลงข่าว “ภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคเหนือ ไตรมาส 3/2566”  สรุปภาพรวมภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือไตรมาส 3/2566 ปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากการท่องเที่ยว การผลิต และ รายได้เกษตรที่ขยายตัว ตลาดแรงงานปรับดีขึ้น เป็นแรงสนับสนุนการบริโภค อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนหดตัว รายละเอียดดังนี้ รายได้เกษตรกรขยายตัวชะลอลง จากผลผลิตที่หดตัว ตามการลดลงของข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าปีก่อน รวมทั้งผลผลิตลำไยลดลงจากสภาพอากาศผันผวนส่วนด้านราคาขยายตัวดีต่อเนื่อง ตามราคาข้าวที่มีอุปสงค์ต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ และราคาลำไยสูงขึ้นตามผลผลิตที่ลดลง ด้านผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง จากหมวดอาหารแปรรูป ประกอบกับหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวจากการเร่งผลิตรองรับโทรศัพท์รุ่นใหม่ และชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ด้านหมวดเครื่องดื่มลดลงในกลุ่มสุราขาว น้ำดื่ม และโซดา ส่วนหมวดสินค้าฟุ่มเฟือยหดตัวต่อเนื่อง ทั้งเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ และ เฟอร์นิเจอร์ ตามอุปสงค์คู่ค้าที่ยังอ่อนแอ  การท่องเที่ยวปรับดีขึ้น จากนักท่องเที่ยวชาวไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว ประกอบกับชาวต่างชาติทยอยฟื้นตัวแม้ต่ำกว่าคาด ตลาดแรงงานปรับดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับผู้ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานตามมาตรา 38 ที่ลดลง เป็นปัจจัยสนับสนุน การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้เล็กน้อย สะท้อนจากการใช้จ่ายในหมวดบริการและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงหลังเร่งไปในช่วงก่อน และหมวดยานพาหนะลดลงจากรถกระบะและรถจักรยานยนต์หดตัว ส่วนรถยนต์นั่งยังขยายตัวได้  ด้านการลงทุนภาคเอกชนหดตัว ตามการนำเข้าสินค้าทุนที่ลดลง ประกอบกับรถยนต์เชิงพาณิชย์หดตัวต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนก่อสร้างลดลงจากยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง อย่างไรก็ดี พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างหดตัวน้อยลง โดยปรับดีขึ้นบ้างในประเภทพื้นที่อยู่อาศัยและเพื่อการพาณิชย์  การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวเล็กน้อย จากการเบิกจ่ายของรายจ่ายประจำที่เพิ่มขึ้น  อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงไตรมาสก่อน จากหมวดอาหารสด และเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลง แนวโน้มเศรษฐกิจภาคเหนือไตรมาส 4/2566 คาดว่าอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือ ทำให้แนวโน้มนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น ประกอบกับผลผลิตอุตสาหกรรมมีทิศทางขยายตัวตามความต้องการของประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ตลาดแรงงานปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรคาดว่าชะลอลงตามผลผลิตที่ลดลง […]

ผู้ว่าฯธปท. ร่วมงานสัมนาวิชาการ ประจำปีที่เชียงใหม่

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ (ธปท.สภน.) ได้จัดงานสัมมนาทางวิชาการ ประจำปี 25 66 “ยกระดับเศรษฐกิจเหนือ คว้าโอกาสบนโลกแห่งความท้าทาย” วันพุธที่ 9 สิงหาคม 2566 เวลา  08.30-12.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ ธปท. สภน. จ.เชียงใหม่ เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนในภาคเหนือ ได้รับทราบทิศทางเศรษฐกิจการเงินนโยบาย ธปท. รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจภาคเหนือในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อการวางแผนของภาคธุรกิจและครัวเรือน ตลอดจนรับฟังมุมมองเกี่ยวกับการสร้างความยั่งยืนและแนวทางการปรับตัว เพื่อยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งภาคธุรกิจ การเงิน การศึกษา ภาคราชการ และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทาง online และมาอยู่ที่ onsite โดยงานสัมมนาแบ่งเป็น 3 ช่วง ในช่วงแรก ในงานได้รับเกียรติจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงปาฐกถาพิเศษในช่วงสนทนากับผู้ว่าการ เรื่อง “ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจการเงินไทย” ฉายภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการประเมินไว้เมื่อเดือน มิ.ย. 66 คาดว่าอัตราการขยายตัวปี 66 อยู่ที่ 3.6% และปี 67 ที่ 3.8% ตามแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดี และภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอลง ส่วนหนึ่งตามเศรษฐกิจจีน และวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวช้า รวมทั้งรายรับภาคการท่องเที่ยวปรับลดลงจากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่ลดลงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าที่คาดไว้ แต่โดยรวมไม่ได้กระทบแรงส่งของเศรษฐกิจในระยะต่อไปที่จะอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยบ้าง แต่การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นช่วยชดเชยในส่วนนี้ได้  ส่วนการส่งออกที่หดตัวในระยะสั้น คาดว่าจะทยอยปรับดีขึ้นตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก  สำหรับเศรษฐกิจภาคเหนือทยอยฟื้นตัวเช่นกันแต่ช้ากว่าประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจภาคเหนือถูกขับเคลื่อนด้วยภาคเกษตรค่อนข้างมาก และมีสัดส่วนแรงงานในภาคเกษตรสูงอีก ทั้งยังเป็นแรงงานสูงอายุ ภาคการผลิตยังมีบทบาทน้อยเมื่อเทียบกับประเทศ รวมทั้งในครึ่งหลังของปีนี้ ต่อเนื่องไปปีหน้า จะมีความท้าทายจากผลกระทบของภาวะภัยแล้ง สำหรับนโยบายสำหรับนโยบายการเงิน ล่าสุดที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย กนง. ได้ประเมินว่าเป็นจุดที่ถือว่าเข้าใกล้จุดสมดุล (neutral) มากขึ้นแล้ว เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไทยขณะนี้กำลังฟื้นเข้าสู่ระดับศักยภาพ ในเรื่องของปัญหาหนี้ครัวเรือน กนง. เป็นห่วงมาโดยตลอด จึงดำเนินนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจโดยรวมให้อยู่ในแนวโน้ม ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อ และเป้าหมายเศรษฐกิจในระยะปานกลาง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะกระทบต่อหนี้ครัวเรือน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด หนี้ครัวเรือนในภาคเหนือ 43% เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบ fixed […]

คาดเศรษฐกิจภาคเหนือฟื้นตัวต่อเนื่องถึง Q3/2566 มีทิศทางบวก

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 นางพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโสของ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ (ธปท. สภน.) ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ : 1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาคเหนือ: ตามข้อมูลที่ธปท. สภน. ได้เผยแพร่ ภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ได้ทำการขยายตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ทั้งนี้เกิดจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ รายได้เกษตรกร ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจภาคเหนือคาดว่าจะก้าวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจที่มั่นคงและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ดังนั้นควรให้ความสำคัญในการติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้อย่างต่อเนื่อง 2. ปัจจัยที่ส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาคเหนือ: ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาคเหนือ สิ่งที่สำคัญมาก คือ การส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ กิจกรรมทางการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยนักท่องเที่ยวที่เป็นทั้งคนไทยและคนต่างชาติ  นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญในเรื่องของภาคการเกษตร ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับราคาสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูงในตลาดการท่องเที่ยวและส่งออก ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลปรับปรุงและส่งเสริมพัฒนาภาคการเกษตรในภาคเหนือให้มีคุณภาพ 3. การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน: การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในเศรษฐกิจภาคเหนือ ธปท. ได้วางแผนเสนอแนวทางการให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ “Consultation paper” เป็นขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการประกาศนโยบายหรือกฎหมายใหม่  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเสนอความคิดเห็นเพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบและความโปร่งใสในกระบวนการตัดสินใจ การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และระเบียบการทำงานที่ถูกต้องในการสร้าง “consultation paper” จะเป็นประโยชน์ในการควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการมีมาตรการหรือนโยบายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป  โดยผู้ที่ส่งเสริมกระบวนการ “consultation paper” จะคำนึงถึงความเห็นและความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนการจัดทำนโยบายหรือกฎหมาย […]

ธปท. รายงานเศรษฐกิจภาคเหนือ ไตรมาส 2

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ (ธปท. สภน.) โดยคุณพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส แถลงข่าว “ภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคเหนือ ไตรมาส 2/2566” โดยภาพรวมภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือไตรมาส 2/2566 ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากรายได้เกษตรกร ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทำให้การจ้างงานทยอยปรับดีขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนการบริโภคและการลงทุน รายได้เกษตรกรขยายตัว ทั้งด้านผลผลิตโดยเฉพาะข้าวนาปรังที่เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับสูง ด้านผลผลิตอุตสาหกรรมปรับดีขึ้นตามการผลิตหมวดอาหาร เครื่องดื่ม และชิ้นส่วนยานยนต์ ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว จากนักท่องเที่ยวไทยในช่วงวันหยุดยาวต้นไตรมาส และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นส่งผลให้ตลาดแรงงานปรับดีขึ้น สะท้อนจากจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้น จำนวนผู้ขอสิทธิว่างงานปรับลดลงและรายได้ลูกจ้างนอกภาคเกษตรทยอยฟื้นตัว เป็นปัจจัยสนับสนุนให้การบริโภคภาคเอกชนปรับดีขึ้น ทั้งในหมวดสินค้าหมวดอุปโภคบริโภค สินค้ากึ่งคงทน และหมวดบริการ เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว ตามการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยอดจำหน่ายจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาหดตัว ตามการเบิกจ่ายที่ลดลงทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนหลังเร่งไปในไตรมาสก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงไตรมาสก่อน จากหมวดพลังงานและอาหารสด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงจากหมวดอาหารและเครื่องดื่ม แนวโน้มเศรษฐกิจภาคเหนือไตรมาส 3/2566 คาดว่าอยู่ในทิศทางฟื้นตัว ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยปรับดีขึ้น นักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวตามความต้องการของประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ตลาดแรงงานยังมีทิศทางดี อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรที่ชะลอลงและรายได้นอกภาคเกษตรที่ฟื้นตัวช้า รวมทั้งค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยกดดันการบริโภคและการลงทุน  นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากปริมาณฝนที่ลดลงจากภาวะเอลนีโญทิศทางการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศ และความเชื่อมั่นที่อาจถูกกระทบจากสถานการณ์การเมือง ธปท. ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา ธปท. ได้ปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แม้เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนขึ้น แต่ยังมีลูกหนี้บางกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวช้า จึงปิดจบหนี้ไม่ได้ ธปท. จึงจะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ตรงจุดและยั่งยืนขึ้น โดยมาตรการที่จะบังคับใช้ก่อน คือ หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) เพื่อปรับพฤติกรรมเจ้าหนี้และลูกหนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อตลอดวงจรหนี้ นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งของเกณฑ์ responsible lending คือ การกำหนดแนวทางให้เจ้าหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้เรื้อรัง (persistent debt) หรือกลุ่มที่ยังจ่ายหนี้ได้ตามปกติ แต่ปิดจบหนี้ไม่ได้ เพื่อให้ลูกหนี้กลุ่มนี้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น และมีเงินเหลือพอดำรงชีพ โดย ธปท. จะออก consultation paper ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และ จะบังคับใช้เกณฑ์ responsible lending และ persistent debt ในวันที่ 1 […]

ตีแผ่บัญชีม้า รู้ไว้ไม่ตกเป็นเหยื่อ

ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยย่อโลกให้แคบลง ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารและใช้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเทคโนโลยีทางการเงินที่พัฒนาไปอย่างมาก ได้มีส่วนช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินสะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น แต่ทว่าก็ทำให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสนี้พัฒนาวิธีการและช่องทางหลอกลวงประชาชนเพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองด้วยเช่นกัน โดย “บัญชีม้า” เป็นตัวกลางสำคัญที่มิจฉาชีพใช้ในการรับเงินจากประชาชนผู้เสียหาย เพื่อหลบเลี่ยงการสืบสวนหรือปกปิดตัวตนไม่ให้สาวถึงตัวผู้กระทำความผิดที่อยู่เบื้องหลัง บัญชีม้าคืออะไร          “บัญชีม้า” คือ บัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่นซึ่งถูกคนร้ายนำมาใช้เป็นช่องทางในการรับเงินและถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงมาถึงตัวได้ คนร้ายสามารถทำได้หลายวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งบัญชีม้า ทั้งจากการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้เปิดบัญชีในชื่อของคนนั้น ๆ หรือจ้างให้บุคคลอื่นเปิดบัญชี หรือรับซื้อบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลทั่วไปเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด ซึ่งพบได้อย่างแพร่หลายในสังคมออนไลน์ที่มีการขายบัญชีเงินฝากธนาคารอย่างเปิดเผย ตั้งแต่ราคา 800 บาท จนถึง 20,000 บาท โดยบัญชีม้าเหล่านี้จะถูกรวบรวมเป็นแพ็กเกจพร้อมกับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและซิมการ์ดโทรศัพท์ที่เจ้าของบัญชีเปิดใช้งานด้วย เพื่อให้คนร้ายที่ซื้อบัญชีม้าไปแล้วสามารถนำข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของบัญชีไปผูกกับ mobile banking เพื่อใช้ทำธุรกรรมออนไลน์ได้ทันที บัญชีม้ากับการนำไปใช้ทำความผิด บัญชีม้าถูกนำมาใช้ในการกระทำความผิดต่าง ๆ มากมาย  ซึ่งจำแนกตามกลุ่มความผิด ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับการพนัน ฉ้อโกง ยาเสพติด และความผิดอื่น ๆ เช่น กลุ่มนอมินีของมิจฉาชีพ ซึ่งในอดีตพบว่ากลุ่มที่มีการนำบัญชีม้าไปใช้ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด กลุ่มวงการพนัน รวมทั้งกลุ่มนอมินีที่ใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินแทนผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลัง ในปัจจุบันพบว่า […]

ธปท.แจงเพจขายแบงก์ปลอม เป็นมิจฉาชีพหลอกให้โอน

นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงว่า ตามที่มีกระแสข่าวการโพสต์ขายธนบัตรปลอมบนสื่อออนไลน์ในวันที่ 9 ธันวาคม 2565 นั้น ธปท. รับทราบและติดตามประเด็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ประสานกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และเร่งสั่งการให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อปราบปรามและระงับเหตุแล้ว ในเบื้องต้น ธปท. ขอชี้แจงว่า  1. ผู้เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายธนบัตรปลอม หรือการเปิดเพจขายธนบัตรปลอมจะมีความผิดตามกฎหมายอาญา โดยผู้ทำธนบัตรปลอมต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท ส่วนผู้ที่ใช้โดยรู้ว่าเป็นธนบัตรปลอมต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท 2. เพจลักษณะดังกล่าว มักเป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการหลอกลวงให้โอนเงิน ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เพจในข่าวเป็นเพจหลอกลวงผู้ซื้อให้โอนเงิน โดยไม่ได้ขายธนบัตรปลอมจริง และบัญชีธนาคารที่เพจใช้ให้ลูกค้าโอนเงิน เป็นบัญชีที่ถูกร้องเรียนว่าใช้ในการหลอกลวง ประชาชนควรระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ทั้งนี้ สำหรับประชาชนทั่วไปควรเพิ่มความระมัดระวัง และตรวจสอบธนบัตรก่อนรับ โดยหากธนบัตรจริงจะสามารถสังเกตเห็นลวดลายบนธนบัตรเคลื่อนไหวได้ และหากยกส่องดูจะเห็นลายน้ำและแถบสีที่เป็นเส้นตรง (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/Pages/identify.aspx)

แบงก์ชาติ เปิดสถิติแอปฯ ธนาคารล่ม

ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลสถิติระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขัดข้องกระทบต่อการให้บริการสำคัญของธนาคารพาณิชย์ โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ธนาคารที่มีปัญหาแอพพลิเคชั่นล่มบ่อยครั้งที่สุดและนานที่สุด คือ ธนาคารทหารไทยธนชาต ที่ล่มถึง 6 ครั้ง เป็นเวลา 46 ชั่วโมง รองลงมาคือธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ล่ม 6 ครั้ง เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ขณะที่ธนาคารยูโอบี ล่ม 1 ครั้ง ระยะเวลา 2 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือ คือ กรุงไทย กรุงศรีอยุธยา ซิตี้แบงก์ ซีไอเอ็มบี และทิสโก้ ล่มธนาคารละ 1 ครั้ง 1 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือไม่มีรายงานเรื่องความขัดข้องเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นเกิดขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย มีรายงาน เอทีเอ็ม/ซีดีเอ็ม ขัดข้อง 4 ครั้ง ระยะเวลา 6 ชั่วโมง […]

เริ่ม 15 พ.ย.นี้ ใช้ตู้ฝากเงินสด ต้องใช้บัตรเครดิต-เดบิตยืนยัน

วันที่ 17 ต.ค.2565 นางบุษกร ธีระปัญญาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงกรณีข่าวที่ธนาคารต่างๆ จะปรับขั้นตอนการฝากเงินผ่านเครื่อง CDM ซึ่งต้องมีการยืนยันตัวตนผ่านบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิต ทุกครั้ง โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. เป็นต้นไปว่า เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) การยืนยันตัวตนของผู้ทำรายการฝากเงิน เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น โดยธนาคารให้มีการยืนยันตัวตนผ่านเครื่อง CDM ของแต่ละธนาคาร สำหรับประชาชนที่ไม่มีบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิต จะไม่สามารถฝากเงินที่เครื่อง CDM ได้ แต่ยังคงสามารถฝากเงินโดยใช้บัตรประชาชน ผ่านช่องทางอื่น นอกเหนือจากฝากที่สาขาธนาคารได้ ได้แก่ ตู้เติมเงิน เคาเตอร์ของร้านสะดวกซื้อ ไปรษณีย์ และตัวแทนรับฝากเงินอื่นของธนาคาร ทั้งนี้ ธปท. จะเร่งให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการพัฒนาระบบ ให้สามารถรองรับการยืนยันตัวตนรูปแบบอื่น ๆ เช่น การใช้บัตรประชาชน หรือการยืนยันตัวตนในลักษณะ cardless เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกกลุ่มโดยเร็วต่อไป โดยลูกค้าต้องเสียบบัตร […]

IMF ธปท. คาดเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง

โฆษกรัฐบาลเผย IMF และ ธปท. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากกิจกรรมการท่องเที่ยว และการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยจะคืนสู่ระดับก่อนโควิดภายในสิ้นปี 65 หรือต้นปี 66 วันที่ 17 ตุลาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงาน World Economic Outlook ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ประจำเดือน ก.ค. 65 ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตที่ 3.2% ในปี 2565 ทั้งนี้ ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และพื้นที่เศรษฐกิจหลักในยุโรป ยังกระตุ้นให้เกิดความตรึงเครียดในภาวะการเงินโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีนและรัสเซีย ในขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นายอนุชาฯ กล่าวต่อไปว่า ในรายงานของ IMF ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2565 จะขยายตัว 2.8% […]

เปิดลงทะเบียน แก้หนี้ออนไลน์ ถึง 30 พ.ย.65 นี้

วันนี้ (12 ตุลาคม 2565) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้าเจาะรายบุคคล  และประกาศให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ร่วมกับกระทรวงการคลังและเจ้าหนี้ 65 ราย ได้ขานรับนโยบายของรัฐบาล จัดกิจกรรม “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้” ขึ้น เพื่อลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ จากผลกระทบสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 และผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหาค่าครองชีพ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ให้สามารถแก้ไขหนี้ได้ และสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างยั่งยืน น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โดยระยะแรกเป็นการแก้หนี้แบบออนไลน์ จึงขอเชิญชวนลูกหนี้ลงทะเบียนแก้หนี้ได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ถึง วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ผ่านเว็บไซต์ www.bot.or.th/debtfair สำหรับขั้นตอนในลงทะเบียนนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ 1.ยื่นคำขอผ่านเว็บไซต์มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ www.bot.or.th/debtfair 2.ธนาคารแห่งประเทศไทยส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ร่วมในมหกรรมฯ ตามที่ผู้ลงทะเบียนระบุ ภายใน 3-4 วัน หลังจากลงทะเบียนสำเร็จ 3.ลูกหนี้รอรับโทรศัพท์ติดต่อจากเจ้าหนี้ เพื่อเจรจาเงื่อนไขภายใน 14 วัน หลังจากผู้ให้บริการทางการเงินรับคำขอจากธนาคารแห่งประเทศไทย […]

เตือน! ผลิตแบงก์ปลอม โทษหนักสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต

ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ผู้ผลิตหรือผู้พยายามนำธนบัตรปลอมมาใช้ มีความผิดตาม มาตรา 240 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560] มาตรา 241 ผู้ใดแปลงเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกระษาปณ์  ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือแปลงพันธนบัตรรัฐบาล หรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ ให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานแปลงเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 ] มาตรา 244 ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใด ๆ อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560] มาตรา 245 ผู้ใดได้มาซึ่งสิ่งใด ๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ถ้าต่อมารู้ว่าเป็นของปลอมหรือของแปลงเช่นว่านั้น […]

1 2