1828

NARIT เปิดเวทีนำเสนอโครงงานวิจัยดาราศาสตร์ระดับโรงเรียน

NARIT เปิดเวทีนำเสนอโครงงานวิจัยดาราศาสตร์ระดับโรงเรียน ระดมยุววิจัยไทย-เทศ โชว์ผลงานในการประชุมวิชาการดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย (สำหรับเยาวชน) ครั้งที่ 11 ที่จังหวัดเชียงใหม่ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดประชุมวิชาการดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย (สำหรับเยาวชน) ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 27-29 มิถุนายน 2568 ณ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเวทีให้เยาวชนไทย และต่างชาตินำเสนอผลงานวิจัยดาราศาสตร์ในระดับโรงเรียน หวังเกิดการแลกเปลี่ยนและต่อยอดองค์ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดยุววิจัยและครุวิจัยรุ่นใหม่ ดันสู่เวทีนานาชาติ การประชุมวิชาการดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย (สำหรับเยาวชน) (Thai Astronomical Conference (Student Session) : TACs) เป็นเวทีนำเสนอโครงงานดาราศาสตร์ระดับโรงเรียน เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยและต่างประเทศที่สนใจดาราศาสตร์ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ ๆ ผ่านกระบวนการทำงานวิจัยดาราศาสตร์ระดับโรงเรียน ภายในงานมีผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ในแขนงต่าง ๆ ร่วมรับฟังพร้อมให้คำแนะนำ เพื่อนำไปพัฒนา ต่อยอดงานวิจัย อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจในการศึกษาเรียนรู้­ด้านดาราศาสตร์ เกิดยุววิจัยรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น และมุ่งหวังให้เกิดเครือข่ายงานวิจัยดาราศาสตร์ในระดับเยาวชน ซึ่งจะก้าวสู่เครือข่ายงานวิจัยดาราศาสตร์ในระดับนานาชาติต่อไปในอนาคต […]

NARIT จับมือ ม.วลัยลักษณ์ ปักหมุดสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอสแห่งที่ 2

NARIT จับมือ ม.วลัยลักษณ์ ปักหมุดสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอสแห่งที่ 2 ที่นครศรีธรรมราช สำหรับศึกษาวิจัยดาราศาสตร์และภูมิมาตรศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) หรือ NARIT กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) จับมือ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) ลงนามความร่วมมือสร้าง “กล้องโทรทรรศน์วิทยุนครศรีธรรมราช” เป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอส (VGOS) แห่งที่ 2 ของไทย ใช้ศึกษาด้านภูมิมาตรศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนจากหอดูดาวเซี่ยงไฮ้ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน คาดว่าจะเปิดดำเนินการในปี 2568 2 กันยายน 2567 – เชียงใหม่ ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ  และ ศาสตราจารย์ ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านกล้องโทรทรรศน์วิทยุวีกอส จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนโครงการก่อสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอส (VLBI Global Observing System: VGOS) […]

รู้หรือไม่ สีเขียวของดาวหาง มาจาก #ไซยาไนด์

แสงฝ้าเรือง ๆ จากดาวหางที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง “ดาวหางฮัลเลย์” ปรากฏเหนือขอบฟ้าช่วงหัวค่ำในคืนหนึ่ง เมื่อปี ค.ศ. 1910 ทำให้มนุษย์โลกต่างพากันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พร้อมทั้งหวาดกลัวว่าการมาเยือนของดาวหางในครั้งนี้ อาจจะนำมาซึ่งหายนะสู่สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลก บางคนถึงกับสวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ บ้างก็คาบยางรถจักรยานเอาไว้ในปาก เผื่อว่าอากาศอันน้อยนิดในยางเส้นนั้นอาจจะเพียงพอที่จะช่วยต่อชีวิตให้เขาได้อีกนิดหนึ่ง แต่แล้วค่ำคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป และอีกร้อยกว่าปีต่อมาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกก็ยังคงมีชีวิตอยู่ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? การมาเยือนของดาวหางฮัลเลย์ในปี ค.ศ. 1910 นั้น เป็นกรณีที่พิเศษมากอยู่สองกรณี กรณีแรก เป็นการเยือนของดาวหางครั้งแรกนับตั้งแต่มีการพัฒนาเทคโนโลยีภาพถ่ายขึ้นมา นั่นหมายความว่านี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ทั่วโลกจะสามารถเห็นภาพดาวหางภาพเดียวกันได้ผ่านบนหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่สิ่งที่เพียงไม่กี่คนที่มีกล้องโทรทรรศน์เท่านั้นถึงจะสังเกตได้อีกต่อไป กรณีที่สอง ดาวหางฮัลเลย์มาเยือนในช่วงที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่สามารถศึกษา “สเปกตรัม”​ ของดาวหาง ทำให้ทราบองค์ประกอบของวัตถุที่อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะมีมนุษย์คนใดสามารถไปได้ถึง และจากการศึกษาแสงของมันที่สะท้อนออกมาจากแสงอาทิตย์ สิ่งที่เราพบในองค์ประกอบของหางดาวหางก็คือ… “ไซยาไนด์” ปัจจุบันเราทราบแล้วว่า แสงสีเขียวของดาวหางนั้น เกิดจากสารประกอบจำพวกไซยาโนเจน (cyanogen) และ diatomic carbon แม้ว่ากระบวนการที่ให้กำเนิดสารประกอบเหล่านี้จากนิวเคลียสของดาวหางนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เราก็สามารถจำลองการดูดกลืนและเปล่งแสงออกมาเป็นแสงสีเขียวของโมเลกุลเหล่านี้ได้ เราสามารถจำลองได้ว่าสารประกอบเหล่านี้จะสามารถคงอยู่ในสภาวะสุญญากาศที่ถูกกระหน่ำโดยรังสีอันแผดเผาจากดวงอาทิตย์ได้เพียงไม่เกินสองวัน ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงไม่พบสีเขียวในบริเวณของหางดาวหางอีกต่อไป แต่ปัญหาหนึ่งก็คือ ไซยาโนเจน นั้นคือสารประกอบที่มีส่วนประกอบของโมเลกุลใกล้เคียงกันมากกับไซยาไนด์ และไซยาโนเจนนั้นสามารถทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน เพื่อกลายเป็นไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้ง่าย ไซยาไนด์นั้นเป็นสารประกอบระเหยง่าย และมีกลิ่นคล้ายอัลมอนด์ (สำหรับคนที่มีพันธุกรรมที่สามารถรับกลิ่นไซยาไนด์ได้) และเป็นหนึ่งในสารพิษที่มีพิษร้ายแรงที่สุด สามารถหยุดกระบวนการเมตาบอลิซึมภายในไมโทคอนเดรียของเซลล์ได้ […]

สดร. ชวนเที่ยวงานมหกรรมดาราศาสตร์สุดยิ่งใหญ่ฯ ในวันเด็กปี 66

14 มกราคม นี้ สดร. ชวนเที่ยวงานมหกรรมดาราศาสตร์สุดยิ่งใหญ่แห่งปีในวันเด็กแห่งชาติปี 2566 จัดเต็ม 4 แห่ง เชียงใหม่ โคราช ฉะเชิงเทรา และสงขลา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ชวนตะลุยโลกดาราศาสตร์กับ “มหกรรมดาราศาสตร์ประจำปี 2566” (NARIT AstroFest 2023) หนึ่งปีมีครั้งเดียวกับเปิดบ้านเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการพัฒนาเทคโนโลยีดาราศาสตร์และวิศวกรรมขั้นสูงสุดล้ำ และตื่นตากับงานวิจัยดาราศาสตร์ กระทบไหล่นักดาราศาสตร์ผู้มีห้วงอวกาศเป็นห้องทำงานขนาดใหญ่ ช่วงค่ำชวนมา Star Party ชมดาวเคล้าเสียงเพลง ส่องวัตถุท้องฟ้าที่น่าสนใจผ่านกล้องโทรทรรศน์หลากหลายชนิด พร้อมลุ้นรับกล้องโทรทรรศน์ และรางวัลมากมายตลอดงาน พบกันวันเสาร์ที่ 14 มกราคมนี้ ตั้งแต่เวลา 09:00- 22:00 น. ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ และหอดูดาวภูมิภาค นครราชสีมา ฉะเชิงเทรา และสงขลา นางสาวจุลลดา […]

ปรากฏการณ์ “Moondogs” เหนือทะเลเมฆ

นี่คือดวงจันทร์ มิใช่ดวงอาทิตย์ อีกทั้งกำลังเกิดปรากฏการณ์ “Moondogs” ที่หาชมยาก และยังเป็นวิวทิวทัศน์จากบนเครื่องบินอีกด้วย! อีกหนึ่งภาพถ่ายดาราศาสตร์ฝีมือคนไทย ที่ทำให้เราได้ชมเหตุการณ์ที่ไม่ได้พบเห็นง่ายๆ ผลงานของคุณสุภฉัตร วรงค์สุรัติ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดภาพถ่ายดาราศาสตร์ ปี 2565 ประเภทปรากฏการณ์ที่เกิดในบรรยากาศของโลก ปรากฏการณ์ Moondogs เกิดจากการที่แสงจากดวงจันทร์ ถูกหักเหหรือสะท้อนกับผลึกน้ำแข็งรูปแผ่น ซึ่งอยู่ในเมฆบางชั้นสูงที่วางตัวแบนๆ ตามแนวระดับ คล้ายกับใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ เกิดเป็นวงแหวนสีรุ้งขึ้น เรียกว่า การทรงกลดที่เกิดจากผลึกรูปแผ่น (Plate Halo) หรือเส้นโค้งที่เกิดจากผลึกรูปแผ่น (Plate Arc) ลักษณะที่เกิดขึ้นนอกจากวงแหวนสีรุ้ง คือการปรากฏของแถบแสงด้านซ้ายและขวาของดวงจันทร์ แต่ละแถบแสงเรียกว่า moondog ถ้าเป็นแถบทั้งสองข้างจะเรียกว่า moondogs หากมีความสว่างมากพอ จะดูเสมือนมีดวงจันทร์ทั้งหมด 3 ดวง ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับปรากฏการณ์ sundogs ซึ่งเกิดจากแหล่งกำเนิดแสงที่เป็นดวงอาทิตย์ แต่เกิดขึ้นได้ยากกว่า เพราะดวงจันทร์มีความสว่างน้อยกว่าดวงอาทิตย์ วงแหวนสีรุ้ง จะมีระยะห่างเชิงมุมประมาณ 22 องศาเสมอ เนื่องจากแสงที่เดินทางผ่านผลึกจะถูกเบี่ยงเบนไปจากแนวตกกระทบเดิมเป็นมุม 22 องศาในทิศต่าง ๆ ผู้สังเกตจึงมองเห็นแนวแสงที่ห่างจากแหล่งกำเนิดเป็นมุม […]

ชวนเสนอชื่อไทยให้ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ

7 ก.ย. 65 สหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ หรือ IAU (The International Astronomical Union) จัfกิจกรรม #NameExoWorlds ขึ้นอีกครั้ง เปิดโอกาสให้ทุกประเทศทั่วโลกร่วมเสนอชื่อดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ประเทศละ 1 ระบบ ซึ่งในครั้งนี้ กิจกรรมตั้งชื่อดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะระบบนี้ จะเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ ในอนาคต ประเทศไทย โดย NARIT ในฐานะหน่วยงานดาราศาสตร์ของไทย และหนึ่งในสมาชิกระดับประเทศของสหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ ได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมเสนอชื่อ “ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะเป็นชื่อไทย” ได้แก่ ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ GJ 3470b #GJ3470b เป็นดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรก ที่นักดาราศาสตร์ไทยได้ศึกษาวิจัยและสังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ของไทย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา หรือหอดูดาวแห่งชาติ ตั้งอยู่บนดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ นับเป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นศึกษาเกี่ยวกับดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในปี 2566 ที่จะถึงนี้จะครบรอบ 10 ปีที่เปิดใช้งานหอดูดาวแห่งชาติ ดวงตาแห่งเอกภพของไทย หอดูดาวขนาดใหญ่มาตรฐานโลก ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้ศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะเท่านั้น ยังเป็นห้องปฏิบัติการดาราศาสตร์ที่สำคัญสำหรับศึกษาวัตถุท้องฟ้าแก่นักวิจัยไทยและนานาชาติ […]

นักวิจัยเผย มนุษย์ต่างดาวมีโอกาสเจอโลก 14 ครั้ง/ปี

นักวิจัย สดร. พบโลกมีโอกาสถูกตรวจพบจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเพียงแค่ 14 ครั้งต่อปี สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผย นักวิจัย สดร. ร่วมกับ นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮอกไกโด และทีมนักวิจัย ศึกษาความเป็นไปได้ที่โลกจะตรวจพบจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกด้วยเทคนิคไมโครเลนส์ พบว่ามีโอกาสเพียง 14 ครั้งต่อปี เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่อธิบายและตอบโจทย์ปฏิทรรศน์ของแฟร์มี (Fermi Paradox) ที่ว่า “ทำไมจึงยังไม่เจอมนุษย์ต่างดาว” งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Monthly Notices of the Royal Astronomical Society ดร. ศุภชัย อาวิพันธุ์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ และชีวดาราศาสตร์ สดร. ร่วมกับ นางสาวศุภากร ศุภผลถาวร นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น และทีมนักวิจัย ใช้ฐานข้อมูลดาวฤกษ์จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Gaia DR2 คำนวณหาโอกาสที่โลกจะถูกตรวจพบจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกด้วยเทคนิคไมโครเลนส์ พบว่าโลกมีโอกาสถูกตรวจพบจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาด้วยเทคนิคไมโครเลนส์เพียงแค่ 14 […]

หาคำตอบ มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม ?

“เราอยู่ลำพังในจักรวาลหรือไม่?” หนึ่งในคำถามสำคัญที่ดาราศาสตร์อาจจะช่วยหาคำตอบให้เราได้ และความพยายามในการตอบคำถามนี้นี่เอง ที่นำเราไปสู่เทคโนโลยี ความก้าวหน้า และการค้นพบต่างๆ ตั้งแต่การส่งยานสำรวจอวกาศไปยังดาวเคราะห์และวัตถุในระบบสุริยะอื่นๆ การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะอันห่างไกล และการพยายามค้นหาสัญญาณวิทยุ อันมีลักษณะแปลกไปจากที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติที่อาจจะมีที่มาจากสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาจากดาวดวงอื่น ผ่านโครงการที่มีชื่อว่า Search for ExtraTerrestrial Intelligence หรือ SETI โครงการ SETI ริเริ่มมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1900 โดยการดักฟังสัญญาณจากห้วงอวกาศที่อาจจะส่งมาจากสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาจากดาวดวงอื่น ด้วยจานรับสัญญาณวิทยุ เมื่อเวลาผ่านไปจึงมีการพัฒนาและปรับปรุงใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการค้นหาสัญญาณ ตั้งแต่การใช้เครื่อง Supercomputer ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมค้นหาสัญญาณด้วยคอมพิวเตอร์ของตนเองผ่านโครงการ SETI@home อย่างไรก็ตาม จนปัจจุบันเราก็ยังไม่เคยค้นพบหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาจากที่อื่นใดได้ และมนุษย์เรายังคงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลที่เรารู้จัก หนึ่งในความท้าทายของการค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาคือข้อจำกัดในการสังเกตการณ์ของเรา สัญญาณอันริบหรี่จากดวงดาวอันไกลโพ้นย่อมต้องใช้จานรับสัญญาณขนาดใหญ่ในการสังเกตการณ์ แต่นี่ก็ทำให้พื้นที่บนท้องฟ้าที่เราสามารถค้นหาได้นั้นแคบลง เช่น หากเราต้องการค้นหาสัญญาณด้วยจานขนาด 40 เมตรของหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์วิทยุแห่งชาติของ สดร. เราจำเป็นต้องทำการสำรวจทั้งหมดมากกว่า 500,000 ครั้ง จึงจะครอบคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า ซึ่งหมายความว่าเวลาและรายละเอียดที่เราจะสามารถสังเกตการณ์ในแต่ละส่วนของท้องฟ้าก็จะสั้นลงไปอีก การพยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาโดยควานหาไปทั่วท้องฟ้า อาจเปรียบได้กับการพยายามก้มหาคอนแทคเลนส์ที่ไม่ทราบว่าตกอยู่บริเวณใด ทำให้เรามองข้ามไปได้โดยง่าย แต่หากเราสามารถจำกัดบริเวณที่น่าจะพบให้แคบลง เราก็จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาได้ดีขึ้น แนวคิดหนึ่งในการค้นหาสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญา จึงเน้นไปที่การค้นหาเฉพาะในทิศทางบนท้องฟ้าที่คาดว่ามีความน่าจะเป็นที่อาจจะมีสัญญาณส่งมามากที่สุด เช่น ทิศทางอันเป็นที่ตั้งของกระจุกดาวซึ่งเต็มไปด้วยดาวฤกษ์จำนวนมาก […]

เผยภาพดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี

เผยภาพดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี 15 ส.ค. 65 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เผยภาพ “ดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี” วันที่ 15 สิงหาคม 2565 บันทึกผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.4 เมตร ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา สงขลา เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ได้อย่างชัดเจน วันที่ 15 สิงหาคม 2565 ดาวเสาร์โคจรมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ โดยดวงอาทิตย์ โลก และดาวเสาร์ เรียงอยู่ในเส้นตรงเดียวกัน มีโลกอยู่ตรงกลาง ส่งผลให้ดาวเสาร์อยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดในรอบปี ห่างจากโลกประมาณ 1,325 ล้านกิโลเมตร เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดาวเสาร์สว่างจะปรากฏทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ สังเกตได้ด้วยตาเปล่ายาวนานตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า คืนดังกล่าวหลายพื้นที่ทั่วไทยไม่สามารถสังเกตการณ์ได้ เนื่องจากตรงกับช่วงฤดูฝน ฟ้าปิด มีเมฆมาก สภาพท้องฟ้าไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ดาวเสาร์จะยังคงปรากฏบนท้องฟ้าไปจนถึงประมาณเดือนมกราคม 2566 หากคืนไหนสภาพอากาศดีจะสามารถสังเกตดาวเสาร์ได้ สำหรับปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ใกล้โลกครั้งต่อไป […]

4 ก.ค.65 โลกโคจรห่างดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี

4 กรกฎาคม 2565 เป็นวันที่โลกโคจรอยู่ห่างดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี หรือที่เรียกว่าจุด “อะฟีเลียน” (Aphelion) จุดที่โลกเราอยู่ห่างดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี ระยะทางประมาณ 152,098,455 กิโลเมตร ในเวลา 14:10 น. ตามเวลาประเทศไทย ในหนึ่งปี โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ทำให้มี 2 จุดบนวงโคจร คือจุดที่โลกจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด เรียกว่า “เพอริฮีเลียน” (Perihelion) ในเดือนมกราคม และจุดที่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุด เรียกว่า “อะฟีเลียน” (Aphelion) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ ตำแหน่งของโลกที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุดไม่ส่งผลต่ออุณหภูมิบนโลกแต่อย่างใด เนื่องจากฤดูกาลของโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะห่างจากดวงอาทิตย์ แต่ขึ้นอยู่กับความเอียงของแกนโลกนั่นเอง