53

ส่องความงาม”ดอกโคม”ประดับถนนในเชียงใหม่

ดอกโคม หรือ เฟื่องฟ้า (Bougainvillea) เป็นพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโดดเด่นทั้งในด้านรูปลักษณ์และสีสันของดอกไม้ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในการใช้ประดับตกแต่งพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สวนหรือระเบียงบ้าน ลำต้นและกิ่งของดอกโคมมีหนามแหลม เพื่อป้องกันตัวเองจากสัตว์ที่อาจทำลายแต่ด้วยลักษณะการเจริญเติบโตที่เป็นไม้เลื้อย จึงสามารถใช้เพิ่มความสวยงามในพื้นที่ที่ต้องการการปกคลุมหรือมีการยึดเกาะได้ดี ดอกโคมมีสีสันหลากหลาย ซึ่งเกิดจากสีของใบประดับที่ห่อหุ้มดอกจริงที่มักจะมีขนาดเล็กมาก โดยสีของใบประดับอาจมีตั้งแต่สีแดง ม่วง ชมพู ส้ม เหลืองหรือแม้กระทั่งสีขาว ซึ่งทำให้ดอกโคมกลายเป็นพืชที่สามารถปรับเข้ากับการตกแต่งในสไตล์ต่าง ๆ ได้ง่าย โดยดอกมักจะออกเป็นช่อที่มีจำนวนมาก ลักษณะของดอกโคมที่สำคัญคือ กลีบรวมจะเป็นหลอดแคบ ๆ คอดตรงกลาง ซึ่งจะติดอยู่บนใบประดับแต่ละใบโดยปลายหลอดแผ่ออกและภายในกลับเป็นสีครีมหรือสีเนื้อ เมื่อบานเต็มที่ดอกโคมจะมีลักษณะคล้ายกับกระเช้าหรือโคมไฟ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ดอกโคม” นอกจากนี้ เฟื่องฟ้ายังมีลักษณะการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว จึงมักนำไปใช้ในการสร้างรั้วหรือแนวขอบของพื้นที่ต่าง ๆ รูปภาพและแหล่งข้อมูลหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/39686-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A1

มรดกศิลปะการแสดงล้านนา “ฟ้อนเงี้ยว”

ในวงการศิลปะการแสดงของภาคเหนือ “ฟ้อนเงี้ยว” หรือที่รู้จักในชื่อ “ฟ้อนเงี้ยวเมือง” ถือเป็นหนึ่งในศิลปะการแสดงที่มีเอกลักษณ์และความงดงามสูงสุด เป็นการฟ้อนรำที่ได้รับอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ หรือ “เงี้ยว” ซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐฉานของประเทศเมียนมา การแสดงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานของวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการดำรงอยู่ของฟ้อนเงี้ยวจนถึงปัจจุบัน ฟ้อนเงี้ยวเป็นศิลปะการแสดงที่มีการใช้ท่ารำที่สวยงามและมีชีวิตชีวา ซึ่งมักใช้ในการเฉลิมฉลองงานบุญ งานประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ ของชาวล้านนา ด้วยลีลาท่ารำที่นุ่มนวลและความสนุกสนานในการแสดง ฟ้อนเงี้ยวจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวล้านนา ทั้งในเชียงใหม่และทั่วภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม ฟ้อนเงี้ยวในรูปแบบที่เราเห็นในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีความประณีตมากขึ้นจากพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พระชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปะการแสดงล้านนาให้คงอยู่ และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงฟ้อนเงี้ยวให้เป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยยังคงรักษาท่ารำดั้งเดิมเอาไว้ พร้อมทั้งเสริมสร้างองค์ประกอบใหม่ ๆ จากนาฏศิลป์ไทยเพื่อเพิ่มความงดงามยิ่งขึ้น ต้นกำเนิดของฟ้อนเงี้ยว จากการละเล่นพื้นบ้านสู่ศิลปะการแสดงล้านนาฟ้อนเงี้ยวมาจากการฟ้อนเล่นของชาวไทใหญ่ หรือ “เงี้ยว” ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในรัฐฉานของเมียนมา รวมทั้งในภาคเหนือของประเทศไทย การฟ้อนรำนี้เริ่มต้นจากการแสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานบุญปอยหลวง หรือการแห่ครัวทาน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ชุมชนจะได้มาร่วมกันเฉลิมฉลองและแสดงออกถึงความเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวาและขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือ ในช่วงแรก การฟ้อนเงี้ยวเป็นการแสดงที่จัดโดยผู้ชายเป็นหลัก ท่าทางการรำกระฉับกระเฉงและเต็มไปด้วยพลัง ในลักษณะที่แสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาและความแข็งแกร่งของเพศชาย แต่เมื่อฟ้อนเงี้ยวเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น การนำผู้หญิงเข้ามาร่วมแสดงก็ได้เพิ่มความอ่อนช้อยและสวยงามให้กับการแสดงนี้มากยิ่งขึ้น พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ผู้ให้กำเนิดฟ้อนเงี้ยวเมือง […]

ประเพณีไข่แดง “ขึ่มสึ ขึ่มมี๊อ่าเผ่ว” การต้อนรับปีใหม่ของชาวอาข่า

ประเพณีไข่แดงหรือ “ขึ่มสึ ขึ่มมี๊อ่าเผ่ว” เป็นพิธีกรรมที่จัดขึ้นโดยชาวอาข่าในช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งตรงกับเดือนอาข่า หรือที่เรียกว่า “ขึ่มสึ บาลา” โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษและการต้อนรับชีวิตใหม่ที่กำลังจะมาถึงในช่วงต้นปีพิธีกรรมนี้เริ่มต้นเมื่อดวงจันทร์ขึ้นในคืนวันที่ 1 ค่ำ ซึ่งชาวอาข่าจะเรียกพิธีนี้ว่า “ลาเด๊ะ ถี่หยะ” และจะมีการเริ่มประกอบพิธีใหม่ที่เรียกว่า “ขึ่มสึ อาเผ่ว” ซึ่งหมายถึง พิธีต้อนรับปีใหม่และการต้อนรับสิ่งมีชีวิตใหม่ทุกชนิดที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ในพิธีนี้ ชาวอาข่าจะใช้ไข่ในการประกอบพิธีกรรม โดยการย้อมเปลือกไข่ให้เป็นสีแดง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับปีใหม่และชีวิตใหม่ในโลกนี้ เด็กๆ จะมีการเล่นชนไข่ โดยการห้อยไข่ที่ย้อมสีแดงในตะกร้าแล้วโยนไปมา เพื่อความสนุกสนานและเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมนี้ที่มีความสำคัญในสังคมอาข่า ความหมายทางวัฒนธรรมและการปกครองหลังจากการจัดพิธี “ขึ่มสึ อาเผ่ว” ที่ต้อนรับปีใหม่และชีวิตใหม่แล้ว จะมีการประกอบพิธีต่อไปในช่วงต่อมาที่เรียกว่า “ขึ่มมี่ อาเผ่ว” ซึ่งเป็นพิธีที่เฉลิมฉลองปีใหม่และตำแหน่งผู้นำทางวัฒนธรรมและการปกครองของชุมชน ชาวอาข่าจะให้ความสำคัญกับผู้นำที่มีชื่อว่า “โจ่วมา” ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวัฒนธรรมและการปกครอง รวมทั้งการจัดการประชุมปรึกษาหารือกับหมอสวดพิธีกรรมที่เรียกว่า “พี้มา” ซึ่งจะช่วยในการวางแผนและปรึกษาเรื่องการปกครองและการรักษาความเป็นระเบียบในชุมชนตามหลักการและกฎจารีตที่ชนเผ่าของตนเองนับถือประเพณีไข่แดง หรือ “ขึ่มสึ ขึ่มมี๊อ่าเผ่ว” เป็นประเพณีที่สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของชนเผ่าอาข่า ผ่านการใช้ไข่เป็นสัญลักษณ์ในการต้อนรับปีใหม่และชีวิตใหม่ ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างชุมชนและธรรมชาติ รวมทั้งการยึดมั่นในความเชื่อและการปฏิบัติตามกฎจารีตที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ด้วยการร่วมกันจัดพิธีและกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความสนุกสนาน แต่ยังสะท้อนถึงการรักษาวัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมของทุกคนในชุมชน ที่มา : https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=168&code_db=610004&code_type=01 […]

“กลองแอว” เสียงก้องแห่งล้านนา มรดกดนตรีที่สืบทอดศรัทธาและประเพณี

ในดินแดนล้านนา ซึ่งอุดมไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงาม มีเครื่องดนตรีโบราณที่เป็นเสมือนเสียงแห่งศรัทธาและความเป็นอัตลักษณ์ของผู้คน กลองแอว คือหนึ่งในเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญในประเพณีและวิถีชีวิตของชาวล้านนามาอย่างยาวนาน เสียงของกลองแอวไม่ได้เป็นเพียงแค่จังหวะดนตรี หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ความร่วมมือกันของชุมชน และเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น กลองแอว หรือที่รู้จักในชื่ออื่น ๆ เช่น กลองตึ่งนง กลองตึ่งโนง กลองเปิ้ง หรือกลองตกเส้ง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่ขึงด้วยหนังหน้าเดียว โดยได้รับอิทธิพลจากพม่าและชนชาติไทใหญ่ ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมดนตรีที่คล้ายคลึงกันกับชาวล้านนา กลองแอวเป็นกลองที่นิยมใช้ในงานบุญ งานแห่ และพิธีกรรมต่าง ๆ ของวัด โดยเฉพาะในขบวนแห่ครัวทาน ปอยหลวง หรือการบวชลูกแก้ว ที่มักจะมีการตีประกอบจังหวะเพื่อสร้างบรรยากาศให้ขับเคลื่อนไปตามประเพณี ลักษณะของกลองแอวมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โครงสร้างของกลองทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ หรือไม้แดง ซึ่งเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและให้เสียงกังวาน หน้ากลองทำจากหนังสัตว์ขึงด้วยเชือกหรือหวายเพื่อความตึงแน่น ขณะที่กลางตัวกลองจะมีลักษณะคอดคล้ายกับสะเอว จึงเป็นที่มาของชื่อ “กลองแอว” คำว่า “แอว” ในภาษาพื้นเมืองเหนือหมายถึงสะเอว ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่ากลองแอวอาจหมายถึงกลองที่มีรูปร่างเหมือนสะเอว หรืออาจหมายถึงกลองที่ใช้สะพายพาดสะเอวเวลาตี ในบางพื้นที่ เช่น ที่ตำบลทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ มีกลองแอวที่มีขนาดเล็กลงจากกลองแอวทั่วไป มีความยาวเพียง 90 เซนติเมตร ซึ่งสามารถใช้สะพายเข้าสะเอวได้โดยตรง เวลาบรรเลงมักเล่นร่วมกับกลองตะหลดปดและฆ้อง […]

“ดอกคำปูจู้” พืชพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความหมาย

ดอกคำปูจู้ เป็นไม้ล้มลุกที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ซึ่งพบได้ในหลายพื้นที่ของภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ดอกคำปูจู้มีลักษณะเด่นที่ดอกสีเหลืองหรือส้มที่สวยงาม ซึ่งมักจะบานในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ดอกจะออกเป็นช่อกระจุกเดี่ยวที่ปลายยอด มีลักษณะของริ้วประดับที่เชื่อมกันเป็นรูประฆัง ปลายจักเป็นซี่ฟัน ดอกวงนอกจะกลับดอกเป็นรูปรางน้ำ โคนเป็นหลอดเล็กและปลายแผ่เป็นรูปไข่กลับ ดอกวงในมักจะเป็นหลอดและปลายจักเป็น 5 ซี่ บางพันธุ์กลีบดอกทั้งหมดอาจจะมีลักษณะเป็นรูปรางน้ำ ความงามของดอกคำปูจู้ไม่ได้เพียงแต่สวยงามภายนอก แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ชาวบ้านในพื้นที่ภาคเหนือมักจะใช้ดอกคำปูจู้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การบูชาพระ การทำบุญ หรือแม้แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดอกคำปูจู้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ความเจริญรุ่งเรือง และการขอพรให้ชีวิตมีความสุข ความเจริญในปีใหม่ไทย ดอกคำปูจู้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งดอกคำปูจู้มักจะบานในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาชมความงามของดอกไม้ชนิดนี้ในช่วงเทศกาลต่างๆ การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการอนุรักษ์และส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมให้กับคนรุ่นหลัง ดอกคำปูจู้จึงไม่เพียงแค่เป็นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ยังมีความสำคัญในหลายด้านทั้งทางวัฒนธรรม การแพทย์สมุนไพร และการส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ซึ่งทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอกคำปูจู้ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนและส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/39007-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%89

“แฮกนา” พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์แห่งท้องทุ่ง สายใยแห่งศรัทธา

ท่ามกลางสายลมแห่งฤดูกาลที่พัดผ่านท้องทุ่งเขียวขจีของภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ชาวนาผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติยังคงดำรงไว้ซึ่งประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ หนึ่งในนั้นคือ “ประเพณีแฮกนา” หรือพิธีกรรมแห่งการลงไถครั้งแรกของฤดูกาลทำนา ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงภูมิปัญญาการเกษตรเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงจิตวิญญาณของชาวนากับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาผืนดินอันเป็นแหล่งผลิตอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน ประเพณีแฮกนาเป็นพิธีกรรมที่มีรากเหง้ามาจากความเชื่อโบราณซึ่งผสมผสานทั้งศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน มีความเกี่ยวข้องกับพระแม่โพสพ เทพแห่งข้าว และพญานาคผู้เป็นสัญลักษณ์ของน้ำและความอุดมสมบูรณ์ ความเชื่อเหล่านี้ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมเกษตรกรรมของไทย โดยเฉพาะในล้านนาและอีสาน ซึ่งเป็นดินแดนที่น้ำจากฝนฟ้าและสายน้ำคือปัจจัยสำคัญในการปลูกข้าว การเริ่มต้นทำนาของชาวนาไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางเกษตรกรรมเท่านั้น แต่เป็นพิธีกรรมที่ต้องอาศัยฤกษ์ยามและพิธีเซ่นไหว้ เพื่อขอพรให้การเพาะปลูกตลอดปีเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้พิบัติภัย และได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ประเพณีแฮกนาจึงเป็นมากกว่าการลงมือทำไร่ไถนา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ พิธีกรรมแห่งแฮกนา เส้นทางแห่งมงคลตั้งแต่แรกไถจนถึงวันเก็บเกี่ยวประเพณีแฮกนาไม่ได้มีเพียงแค่การลงไถครั้งแรกเท่านั้น แต่ครอบคลุมตลอดกระบวนการปลูกข้าว ตั้งแต่การไถ การหว่านกล้า การถอนกล้า การปักดำ การดูแลรักษา ไปจนถึงวันเก็บเกี่ยว แต่ละขั้นตอนล้วนแฝงไว้ด้วยความหมายทางจิตวิญญาณและความเชื่อที่ลึกซึ้ง แฮกไถ สายสัมพันธ์แห่งดินและพญานาคการเริ่มต้นฤดูกาลทำนาจะต้องทำพิธี “แฮกไถ” หรือการลงไถครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชาวนาต้องให้ความเคารพต่อพญานาค เพราะตามความเชื่อโบราณ พญานาคเป็นผู้ปกปักรักษาแหล่งน้ำและผืนดิน การไถนาเปรียบเสมือนการกรีดร่างของพญานาคลงบนผืนแผ่นดิน ดังนั้นชาวนาจะต้องคำนึงถึงทิศที่พญานาคหันหัวไปในปีนั้น และหลีกเลี่ยงการไถทวนหรือย้อนเกล็ดพญานาค มิฉะนั้นอาจเกิดอัปมงคล เช่น ไถหัก วัวควายตื่นตกใจ หรือผลผลิตไม่อุดมสมบูรณ์ หลังจากเตรียมดินเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ “แฮกหว่าน” หรือการหว่านเมล็ดข้าวลงบนพื้นนา การหว่านข้าวไม่ได้ทำไปอย่างไร้ทิศทาง แต่ต้องเลือกวันมงคลในการหว่าน โดยถือเคล็ดให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วหลับตาหว่านเมล็ดข้าวจำนวนหนึ่งก่อน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าศัตรูพืชจะมองไม่เห็นเมล็ดข้าวที่หว่านไป […]

ย้อนวันวาน ภาพบรรยากาศประเพณีสงกรานต์จังหวัดเชียงใหม่

ประเพณีสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญและเต็มไปด้วยความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งในทุกๆ ปี ชาวเชียงใหม่ร่วมกันสืบสานประเพณีอันดีงามที่มีมาช้านาน โดยเฉพาะกิจกรรมที่สอดแทรกคุณค่าทางศาสนาและความสนุกสนานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ในช่วงสงกรานต์ของเชียงใหม่พิธีกรรมต่างๆจะเริ่มต้นจากการ รดน้ำดำหัว ซึ่งเป็นพิธีการที่ลูกหลานจะไปขอพรจากผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพและขอพรให้มีความสุขและเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ไทย นอกจากนี้ยังมีการทำ ขบวนแห่สรงน้ำพระ ที่ผู้คนจากทุกสารทิศจะร่วมกันในขบวนแห่ที่สวยงาม โดยมีการตกแต่งขบวนด้วยธงตุงและดอกไม้เพื่อให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเคารพในพระพุทธศาสนา การ เล่นน้ำสงกรานต์ เป็นกิจกรรมที่ผู้คนรอคอยมากที่สุด โดยเฉพาะในเมืองเชียงใหม่ที่มีการสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานทั้งในถนนและตามจุดต่างๆ ทำให้เมืองเชียงใหม่เต็มไปด้วยความคึกคักและยิ้มแย้มแจ่มใสของทุกคน ทุกเพศทุกวัยต่างมาร่วมเล่นน้ำและสร้างความสุขให้กัน ในส่วนของการ ขนทรายเข้าวัดและก่อกองทราย ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนเชียงใหม่ให้ความสำคัญ การขนทรายเข้าวัดเพื่อทำการสะอาดและก่อกองทรายที่วัดเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธศาสนาและเป็นการทำบุญในช่วงสงกรานต์ พร้อมกับการ ปักตุง ซึ่งเป็นการตกแต่งด้วยธงผ้าสีสันสดใสที่ประดับทั่วเมืองและวัดต่างๆ สื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและการเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ การ ถวายไม้ค้ำต้นโพธิ์ เป็นอีกหนึ่งพิธีที่แสดงถึงความศรัทธาและการเคารพในพระพุทธศาสนา และยังช่วยให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้รู้สึกถึงความเป็นมงคลในช่วงปีใหม่ไทย รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า เชียงใหม https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/34616

ส่องความงาม”ดอกโคม”ประดับถนนในเชียงใหม่

ดอกโคม หรือ เฟื่องฟ้า (Bougainvillea) เป็นพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโดดเด่นทั้งในด้านรูปลักษณ์และสีสันของดอกไม้ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในการใช้ประดับตกแต่งพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สวนหรือระเบียงบ้าน ลำต้นและกิ่งของดอกโคมมีหนามแหลม เพื่อป้องกันตัวเองจากสัตว์ที่อาจทำลายแต่ด้วยลักษณะการเจริญเติบโตที่เป็นไม้เลื้อย จึงสามารถใช้เพิ่มความสวยงามในพื้นที่ที่ต้องการการปกคลุมหรือมีการยึดเกาะได้ดี ดอกโคมมีสีสันหลากหลาย ซึ่งเกิดจากสีของใบประดับที่ห่อหุ้มดอกจริงที่มักจะมีขนาดเล็กมาก โดยสีของใบประดับอาจมีตั้งแต่สีแดง ม่วง ชมพู ส้ม เหลืองหรือแม้กระทั่งสีขาว ซึ่งทำให้ดอกโคมกลายเป็นพืชที่สามารถปรับเข้ากับการตกแต่งในสไตล์ต่าง ๆ ได้ง่าย โดยดอกมักจะออกเป็นช่อที่มีจำนวนมาก ลักษณะของดอกโคมที่สำคัญคือ กลีบรวมจะเป็นหลอดแคบ ๆ คอดตรงกลาง ซึ่งจะติดอยู่บนใบประดับแต่ละใบโดยปลายหลอดแผ่ออกและภายในกลับเป็นสีครีมหรือสีเนื้อ เมื่อบานเต็มที่ดอกโคมจะมีลักษณะคล้ายกับกระเช้าหรือโคมไฟ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ดอกโคม” นอกจากนี้ เฟื่องฟ้ายังมีลักษณะการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว จึงมักนำไปใช้ในการสร้างรั้วหรือแนวขอบของพื้นที่ต่าง ๆ รูปภาพและแหล่งข้อมูลหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/39686-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A1

มรดกศิลปะการแสดงล้านนา “ฟ้อนเงี้ยว”

ในวงการศิลปะการแสดงของภาคเหนือ “ฟ้อนเงี้ยว” หรือที่รู้จักในชื่อ “ฟ้อนเงี้ยวเมือง” ถือเป็นหนึ่งในศิลปะการแสดงที่มีเอกลักษณ์และความงดงามสูงสุด เป็นการฟ้อนรำที่ได้รับอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ หรือ “เงี้ยว” ซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐฉานของประเทศเมียนมา การแสดงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานของวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการดำรงอยู่ของฟ้อนเงี้ยวจนถึงปัจจุบัน ฟ้อนเงี้ยวเป็นศิลปะการแสดงที่มีการใช้ท่ารำที่สวยงามและมีชีวิตชีวา ซึ่งมักใช้ในการเฉลิมฉลองงานบุญ งานประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ ของชาวล้านนา ด้วยลีลาท่ารำที่นุ่มนวลและความสนุกสนานในการแสดง ฟ้อนเงี้ยวจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวล้านนา ทั้งในเชียงใหม่และทั่วภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม ฟ้อนเงี้ยวในรูปแบบที่เราเห็นในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีความประณีตมากขึ้นจากพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พระชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปะการแสดงล้านนาให้คงอยู่ และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงฟ้อนเงี้ยวให้เป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยยังคงรักษาท่ารำดั้งเดิมเอาไว้ พร้อมทั้งเสริมสร้างองค์ประกอบใหม่ ๆ จากนาฏศิลป์ไทยเพื่อเพิ่มความงดงามยิ่งขึ้น ต้นกำเนิดของฟ้อนเงี้ยว จากการละเล่นพื้นบ้านสู่ศิลปะการแสดงล้านนาฟ้อนเงี้ยวมาจากการฟ้อนเล่นของชาวไทใหญ่ หรือ “เงี้ยว” ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในรัฐฉานของเมียนมา รวมทั้งในภาคเหนือของประเทศไทย การฟ้อนรำนี้เริ่มต้นจากการแสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานบุญปอยหลวง หรือการแห่ครัวทาน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ชุมชนจะได้มาร่วมกันเฉลิมฉลองและแสดงออกถึงความเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวาและขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือ ในช่วงแรก การฟ้อนเงี้ยวเป็นการแสดงที่จัดโดยผู้ชายเป็นหลัก ท่าทางการรำกระฉับกระเฉงและเต็มไปด้วยพลัง ในลักษณะที่แสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาและความแข็งแกร่งของเพศชาย แต่เมื่อฟ้อนเงี้ยวเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น การนำผู้หญิงเข้ามาร่วมแสดงก็ได้เพิ่มความอ่อนช้อยและสวยงามให้กับการแสดงนี้มากยิ่งขึ้น พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ผู้ให้กำเนิดฟ้อนเงี้ยวเมือง […]

ประเพณีไข่แดง “ขึ่มสึ ขึ่มมี๊อ่าเผ่ว” การต้อนรับปีใหม่ของชาวอาข่า

ประเพณีไข่แดงหรือ “ขึ่มสึ ขึ่มมี๊อ่าเผ่ว” เป็นพิธีกรรมที่จัดขึ้นโดยชาวอาข่าในช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งตรงกับเดือนอาข่า หรือที่เรียกว่า “ขึ่มสึ บาลา” โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษและการต้อนรับชีวิตใหม่ที่กำลังจะมาถึงในช่วงต้นปีพิธีกรรมนี้เริ่มต้นเมื่อดวงจันทร์ขึ้นในคืนวันที่ 1 ค่ำ ซึ่งชาวอาข่าจะเรียกพิธีนี้ว่า “ลาเด๊ะ ถี่หยะ” และจะมีการเริ่มประกอบพิธีใหม่ที่เรียกว่า “ขึ่มสึ อาเผ่ว” ซึ่งหมายถึง พิธีต้อนรับปีใหม่และการต้อนรับสิ่งมีชีวิตใหม่ทุกชนิดที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ในพิธีนี้ ชาวอาข่าจะใช้ไข่ในการประกอบพิธีกรรม โดยการย้อมเปลือกไข่ให้เป็นสีแดง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับปีใหม่และชีวิตใหม่ในโลกนี้ เด็กๆ จะมีการเล่นชนไข่ โดยการห้อยไข่ที่ย้อมสีแดงในตะกร้าแล้วโยนไปมา เพื่อความสนุกสนานและเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมนี้ที่มีความสำคัญในสังคมอาข่า ความหมายทางวัฒนธรรมและการปกครองหลังจากการจัดพิธี “ขึ่มสึ อาเผ่ว” ที่ต้อนรับปีใหม่และชีวิตใหม่แล้ว จะมีการประกอบพิธีต่อไปในช่วงต่อมาที่เรียกว่า “ขึ่มมี่ อาเผ่ว” ซึ่งเป็นพิธีที่เฉลิมฉลองปีใหม่และตำแหน่งผู้นำทางวัฒนธรรมและการปกครองของชุมชน ชาวอาข่าจะให้ความสำคัญกับผู้นำที่มีชื่อว่า “โจ่วมา” ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวัฒนธรรมและการปกครอง รวมทั้งการจัดการประชุมปรึกษาหารือกับหมอสวดพิธีกรรมที่เรียกว่า “พี้มา” ซึ่งจะช่วยในการวางแผนและปรึกษาเรื่องการปกครองและการรักษาความเป็นระเบียบในชุมชนตามหลักการและกฎจารีตที่ชนเผ่าของตนเองนับถือประเพณีไข่แดง หรือ “ขึ่มสึ ขึ่มมี๊อ่าเผ่ว” เป็นประเพณีที่สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของชนเผ่าอาข่า ผ่านการใช้ไข่เป็นสัญลักษณ์ในการต้อนรับปีใหม่และชีวิตใหม่ ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างชุมชนและธรรมชาติ รวมทั้งการยึดมั่นในความเชื่อและการปฏิบัติตามกฎจารีตที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ด้วยการร่วมกันจัดพิธีและกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความสนุกสนาน แต่ยังสะท้อนถึงการรักษาวัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมของทุกคนในชุมชน ที่มา : https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=168&code_db=610004&code_type=01 […]

“กลองแอว” เสียงก้องแห่งล้านนา มรดกดนตรีที่สืบทอดศรัทธาและประเพณี

ในดินแดนล้านนา ซึ่งอุดมไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงาม มีเครื่องดนตรีโบราณที่เป็นเสมือนเสียงแห่งศรัทธาและความเป็นอัตลักษณ์ของผู้คน กลองแอว คือหนึ่งในเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญในประเพณีและวิถีชีวิตของชาวล้านนามาอย่างยาวนาน เสียงของกลองแอวไม่ได้เป็นเพียงแค่จังหวะดนตรี หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ความร่วมมือกันของชุมชน และเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น กลองแอว หรือที่รู้จักในชื่ออื่น ๆ เช่น กลองตึ่งนง กลองตึ่งโนง กลองเปิ้ง หรือกลองตกเส้ง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่ขึงด้วยหนังหน้าเดียว โดยได้รับอิทธิพลจากพม่าและชนชาติไทใหญ่ ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมดนตรีที่คล้ายคลึงกันกับชาวล้านนา กลองแอวเป็นกลองที่นิยมใช้ในงานบุญ งานแห่ และพิธีกรรมต่าง ๆ ของวัด โดยเฉพาะในขบวนแห่ครัวทาน ปอยหลวง หรือการบวชลูกแก้ว ที่มักจะมีการตีประกอบจังหวะเพื่อสร้างบรรยากาศให้ขับเคลื่อนไปตามประเพณี ลักษณะของกลองแอวมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โครงสร้างของกลองทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ หรือไม้แดง ซึ่งเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและให้เสียงกังวาน หน้ากลองทำจากหนังสัตว์ขึงด้วยเชือกหรือหวายเพื่อความตึงแน่น ขณะที่กลางตัวกลองจะมีลักษณะคอดคล้ายกับสะเอว จึงเป็นที่มาของชื่อ “กลองแอว” คำว่า “แอว” ในภาษาพื้นเมืองเหนือหมายถึงสะเอว ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่ากลองแอวอาจหมายถึงกลองที่มีรูปร่างเหมือนสะเอว หรืออาจหมายถึงกลองที่ใช้สะพายพาดสะเอวเวลาตี ในบางพื้นที่ เช่น ที่ตำบลทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ มีกลองแอวที่มีขนาดเล็กลงจากกลองแอวทั่วไป มีความยาวเพียง 90 เซนติเมตร ซึ่งสามารถใช้สะพายเข้าสะเอวได้โดยตรง เวลาบรรเลงมักเล่นร่วมกับกลองตะหลดปดและฆ้อง […]

“ดอกคำปูจู้” พืชพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความหมาย

ดอกคำปูจู้ เป็นไม้ล้มลุกที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ซึ่งพบได้ในหลายพื้นที่ของภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ดอกคำปูจู้มีลักษณะเด่นที่ดอกสีเหลืองหรือส้มที่สวยงาม ซึ่งมักจะบานในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ดอกจะออกเป็นช่อกระจุกเดี่ยวที่ปลายยอด มีลักษณะของริ้วประดับที่เชื่อมกันเป็นรูประฆัง ปลายจักเป็นซี่ฟัน ดอกวงนอกจะกลับดอกเป็นรูปรางน้ำ โคนเป็นหลอดเล็กและปลายแผ่เป็นรูปไข่กลับ ดอกวงในมักจะเป็นหลอดและปลายจักเป็น 5 ซี่ บางพันธุ์กลีบดอกทั้งหมดอาจจะมีลักษณะเป็นรูปรางน้ำ ความงามของดอกคำปูจู้ไม่ได้เพียงแต่สวยงามภายนอก แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ชาวบ้านในพื้นที่ภาคเหนือมักจะใช้ดอกคำปูจู้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การบูชาพระ การทำบุญ หรือแม้แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดอกคำปูจู้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ความเจริญรุ่งเรือง และการขอพรให้ชีวิตมีความสุข ความเจริญในปีใหม่ไทย ดอกคำปูจู้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งดอกคำปูจู้มักจะบานในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาชมความงามของดอกไม้ชนิดนี้ในช่วงเทศกาลต่างๆ การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการอนุรักษ์และส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมให้กับคนรุ่นหลัง ดอกคำปูจู้จึงไม่เพียงแค่เป็นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ยังมีความสำคัญในหลายด้านทั้งทางวัฒนธรรม การแพทย์สมุนไพร และการส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ซึ่งทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอกคำปูจู้ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนและส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/39007-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%89

“แฮกนา” พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์แห่งท้องทุ่ง สายใยแห่งศรัทธา

ท่ามกลางสายลมแห่งฤดูกาลที่พัดผ่านท้องทุ่งเขียวขจีของภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ชาวนาผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติยังคงดำรงไว้ซึ่งประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ หนึ่งในนั้นคือ “ประเพณีแฮกนา” หรือพิธีกรรมแห่งการลงไถครั้งแรกของฤดูกาลทำนา ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงภูมิปัญญาการเกษตรเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงจิตวิญญาณของชาวนากับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาผืนดินอันเป็นแหล่งผลิตอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน ประเพณีแฮกนาเป็นพิธีกรรมที่มีรากเหง้ามาจากความเชื่อโบราณซึ่งผสมผสานทั้งศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน มีความเกี่ยวข้องกับพระแม่โพสพ เทพแห่งข้าว และพญานาคผู้เป็นสัญลักษณ์ของน้ำและความอุดมสมบูรณ์ ความเชื่อเหล่านี้ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมเกษตรกรรมของไทย โดยเฉพาะในล้านนาและอีสาน ซึ่งเป็นดินแดนที่น้ำจากฝนฟ้าและสายน้ำคือปัจจัยสำคัญในการปลูกข้าว การเริ่มต้นทำนาของชาวนาไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางเกษตรกรรมเท่านั้น แต่เป็นพิธีกรรมที่ต้องอาศัยฤกษ์ยามและพิธีเซ่นไหว้ เพื่อขอพรให้การเพาะปลูกตลอดปีเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้พิบัติภัย และได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ประเพณีแฮกนาจึงเป็นมากกว่าการลงมือทำไร่ไถนา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ พิธีกรรมแห่งแฮกนา เส้นทางแห่งมงคลตั้งแต่แรกไถจนถึงวันเก็บเกี่ยวประเพณีแฮกนาไม่ได้มีเพียงแค่การลงไถครั้งแรกเท่านั้น แต่ครอบคลุมตลอดกระบวนการปลูกข้าว ตั้งแต่การไถ การหว่านกล้า การถอนกล้า การปักดำ การดูแลรักษา ไปจนถึงวันเก็บเกี่ยว แต่ละขั้นตอนล้วนแฝงไว้ด้วยความหมายทางจิตวิญญาณและความเชื่อที่ลึกซึ้ง แฮกไถ สายสัมพันธ์แห่งดินและพญานาคการเริ่มต้นฤดูกาลทำนาจะต้องทำพิธี “แฮกไถ” หรือการลงไถครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชาวนาต้องให้ความเคารพต่อพญานาค เพราะตามความเชื่อโบราณ พญานาคเป็นผู้ปกปักรักษาแหล่งน้ำและผืนดิน การไถนาเปรียบเสมือนการกรีดร่างของพญานาคลงบนผืนแผ่นดิน ดังนั้นชาวนาจะต้องคำนึงถึงทิศที่พญานาคหันหัวไปในปีนั้น และหลีกเลี่ยงการไถทวนหรือย้อนเกล็ดพญานาค มิฉะนั้นอาจเกิดอัปมงคล เช่น ไถหัก วัวควายตื่นตกใจ หรือผลผลิตไม่อุดมสมบูรณ์ หลังจากเตรียมดินเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ “แฮกหว่าน” หรือการหว่านเมล็ดข้าวลงบนพื้นนา การหว่านข้าวไม่ได้ทำไปอย่างไร้ทิศทาง แต่ต้องเลือกวันมงคลในการหว่าน โดยถือเคล็ดให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วหลับตาหว่านเมล็ดข้าวจำนวนหนึ่งก่อน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าศัตรูพืชจะมองไม่เห็นเมล็ดข้าวที่หว่านไป […]

ย้อนวันวาน ภาพบรรยากาศประเพณีสงกรานต์จังหวัดเชียงใหม่

ประเพณีสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญและเต็มไปด้วยความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งในทุกๆ ปี ชาวเชียงใหม่ร่วมกันสืบสานประเพณีอันดีงามที่มีมาช้านาน โดยเฉพาะกิจกรรมที่สอดแทรกคุณค่าทางศาสนาและความสนุกสนานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ในช่วงสงกรานต์ของเชียงใหม่พิธีกรรมต่างๆจะเริ่มต้นจากการ รดน้ำดำหัว ซึ่งเป็นพิธีการที่ลูกหลานจะไปขอพรจากผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพและขอพรให้มีความสุขและเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ไทย นอกจากนี้ยังมีการทำ ขบวนแห่สรงน้ำพระ ที่ผู้คนจากทุกสารทิศจะร่วมกันในขบวนแห่ที่สวยงาม โดยมีการตกแต่งขบวนด้วยธงตุงและดอกไม้เพื่อให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเคารพในพระพุทธศาสนา การ เล่นน้ำสงกรานต์ เป็นกิจกรรมที่ผู้คนรอคอยมากที่สุด โดยเฉพาะในเมืองเชียงใหม่ที่มีการสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานทั้งในถนนและตามจุดต่างๆ ทำให้เมืองเชียงใหม่เต็มไปด้วยความคึกคักและยิ้มแย้มแจ่มใสของทุกคน ทุกเพศทุกวัยต่างมาร่วมเล่นน้ำและสร้างความสุขให้กัน ในส่วนของการ ขนทรายเข้าวัดและก่อกองทราย ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนเชียงใหม่ให้ความสำคัญ การขนทรายเข้าวัดเพื่อทำการสะอาดและก่อกองทรายที่วัดเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธศาสนาและเป็นการทำบุญในช่วงสงกรานต์ พร้อมกับการ ปักตุง ซึ่งเป็นการตกแต่งด้วยธงผ้าสีสันสดใสที่ประดับทั่วเมืองและวัดต่างๆ สื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและการเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ การ ถวายไม้ค้ำต้นโพธิ์ เป็นอีกหนึ่งพิธีที่แสดงถึงความศรัทธาและการเคารพในพระพุทธศาสนา และยังช่วยให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้รู้สึกถึงความเป็นมงคลในช่วงปีใหม่ไทย รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า เชียงใหม https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/34616

“พิธีตั้งขัน” มรดกศรัทธาและขนบธรรมเนียมแห่งล้านนา

เมื่อเอ่ยถึงวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของชาวล้านนา “พิธีตั้งขัน” เป็นหนึ่งในประเพณีที่มีความสำคัญและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เป็นสัญลักษณ์ของการเคารพบูชาครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพเทวาที่คุ้มครองปกปักรักษาผู้คนในทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่การเริ่มต้นก่อสร้างบ้านเรือน ไปจนถึงพิธีกรรมสำคัญในวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืออวมงคล การตั้งขันไม่ใช่เพียงแค่การจัดเตรียมสิ่งของเพื่อบูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งเกี่ยวกับความเชื่อและจิตวิญญาณของชาวล้านนา ขันตั้ง หรือ ขันครู เป็นเครื่องสักการะที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพและขอพรจากครูบาอาจารย์ เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้พิธีกรรมต่างๆ เป็นไปโดยราบรื่น ปราศจากอุปสรรค และนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ผู้กระทำพิธี ในอดีต เมื่อช่างไม้หรือสล่าจะเริ่มต้นปลูกสร้างบ้าน ช่างจะต้องทำพิธีตั้งขันขึ้นเพื่อเป็นการขออนุญาตจากครูช่างหรือเทพผู้ดูแลสถานที่ โดยขันตั้งนี้จะประกอบไปด้วยสวยหมาก 12 สวยพลู 12 สวยดอก 12 ข้าวเปลือกหมื่นข้าวสารพัน หมาก 1 หัว พลู 1 มัด ผ้าขาว ผ้าแดง เหล้า 1 ขวด และเงินจำนวนหนึ่ง สิ่งของเหล่านี้จะถูกจัดวางไว้ในภาชนะ เช่น กะละมัง หรือโอขนาดใหญ่ แล้วนำไปแขวนไว้ที่เรือนพักของเจ้าของบ้าน หลังจากเสร็จพิธีแล้ว เชื่อกันว่าการก่อสร้างบ้านจะเป็นไปโดยราบรื่น ไม่มีอุปสรรค ขันตั้งในพิธีกรรมล้านนามีหลายประเภท และสามารถปรับเปลี่ยนตามจุดประสงค์ของแต่ละพิธีกรรมได้ สิ่งของที่ใช้ในขันตั้งจะแตกต่างกันออกไปตามระดับของพิธีและฐานะของผู้ประกอบพิธี แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีดอกไม้ […]

“พระเจ้าเก้าตื้อ” พระพุทธรูปสำริดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบของ วัดบุปผาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดสวนดอก ในจังหวัดเชียงใหม่ ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปสำริดขนาดมหึมาที่รู้จักกันในชื่อ “พระเจ้าเก้าตื้อ” ไม่เพียงแต่เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดของศิลปะล้านนา หากแต่ยังเป็นพยานแห่งศรัทธาอันแรงกล้าของกษัตริย์และประชาชนในยุคอดีตที่มีต่อพระพุทธศาสนา คำว่า “เก้าตื้อ” สะท้อนถึงขนาดและน้ำหนักอันมหาศาลขององค์พระพุทธรูป คำว่า “ตื้อ” เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของล้านนาโบราณ ซึ่ง 1 ตื้อ มีน้ำหนักประมาณ 1,000-1,200 กิโลกรัม ดังนั้นพระเจ้าเก้าตื้อจึงหมายถึง พระพุทธรูปที่มีน้ำหนักถึง 9 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยโลหะบริสุทธิ์ที่หนักและมั่นคงที่สุดในประวัติศาสตร์ล้านนา การสร้างพระเจ้าเก้าตื้อเกิดขึ้นในสมัยของ พระเมืองแก้ว หรือ พระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างแข็งขัน และทรงมีพระราชประสงค์ให้หล่อพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อันเป็นวัดสำคัญของเมืองเชียงใหม่ การหล่อพระเจ้าเก้าตื้อเริ่มขึ้นเมื่อ วันพฤหัสบดี เดือน 8 ขึ้น 11 ค่ำ ปีชวดฉอศก จุลศักราช 866 (พ.ศ. 2047) และเสร็จสมบูรณ์ในปีถัดมา พ.ศ. 2048 อย่างไรก็ตาม เมื่อการหล่อเสร็จสิ้น ปรากฏว่าองค์พระมีขนาดใหญ่มากและมีน้ำหนักมหาศาลจนไม่สามารถชะลอหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในเมืองได้ […]

พระธาตุเบ็งสกัด มรดกศรัทธาแห่งเมืองปัว อายุกว่า 700 ปี

ศูนย์กลางแห่งความศรัทธาและประวัติศาสตร์วัดพระธาตุเบ็งสกัด ตั้งอยู่ในเขตบ้านแก้ม ตำบลวรนคร อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพญาภูคา ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนโบราณ และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเมืองปัวมายาวนาน สิ่งสำคัญที่โดดเด่นของวัดคือ พระธาตุเบ็งสกัด องค์พระเจดีย์เก่าแก่ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีอายุกว่า 700 ปี และได้รับการยกย่องให้เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ตำนานและที่มาของชื่อพระธาตุเบ็งสกัดชื่อ “เบ็งสกัด” มีที่มาจากปรากฏการณ์ลี้ลับที่เกิดขึ้นบริเวณบ่อดินแห่งหนึ่งในอดีต เมื่อผู้คนใช้ไม้แหย่ลงไปในบ่อ แต่ไม้กลับขาดเป็นท่อน ๆ ราวกับถูกอะไรบางอย่างกัดให้ขาด อีกทั้งยังมีแสงเรืองรองเกิดขึ้นในช่วงเฉลิมฉลอง ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า “เบ็งสกัด” ซึ่งหมายถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าองค์พระธาตุและพระวิหารของวัดพระธาตุเบ็งสกัดสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1826 โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะพื้นบ้านของชาวไทลื้อและล้านช้าง วิหารของวัดมีลักษณะเป็น ทรงเตี้ยแจ้ หรือ ทรงตะคุ่ม ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของชาวไทลื้อ โดดเด่นด้วยหลังคาสองชั้น มุงด้วยแป้นเกล็ดไม้สักทอง ซุ้มประตูเป็นศิลปะแบบล้านช้างอันเป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือ องค์พระประธานภายในวิหารแกะสลักขึ้นตามศิลปะแบบพื้นบ้าน ประดิษฐานบนฐานชุกชี ด้านหลังองค์พระติดกระจกเงาตามความเชื่อของชาวไทลื้อที่ว่า กระจกจะช่วยสะท้อนแสงธรรมและนำพาความเป็นสิริมงคลมาสู่ผู้ที่มากราบไหว้ ส่วนบานประตูไม้จำหลักได้รับการแกะสลักอย่างงดงามตามสไตล์ศิลปะพื้นเมืองน่าน บทบาททางศาสนาและความสำคัญต่อชุมชนวัดพระธาตุเบ็งสกัดไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนในเขตเมืองปัวมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นอกจากจะเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านใช้ในการสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีพื้นเมือง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ประเพณีขึ้นพระธาตุเบ็งสกัด ซึ่งเป็นงานบุญประจำปีที่มีการสรงน้ำพระธาตุ ฟังเทศน์ […]

ย้อยรอยความงดงามวัดจองคำและวัดจองกลาง แม่ฮ่องสอน

วัดจองคำ วัดจองกลาง วัดฝาแฝดที่สร้างขึ้นเป็นวัดแห่งแรกของจังหวัดแม่อ่องสอน ตั้งอยู่บริเวณหนองจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน โดยมีการประกาศรวมวัดทั้งสองเข้าด้วยกัน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2517 ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการที่ดูแลกรมการศาสนาในช่วงเวลานั้น วัดจองคำสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2370 โดยพญาสิงหนาทราชาและเจ้านางเมี้ยะได้รับพระราชทานให้เป็นพระรามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทใหญ่ ภายในวัดมีองค์พระเจดีย์สร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2458 ความสูง 32 ศอก ฐานสี่เหลี่ยมมีมุข 4 ด้าน ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานพระพุทธรูป และมีสิงห์ประดับอยู่ด้านละหนึ่งตัว และมีวิหารหลวงพ่อโต รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทใหญ่กับตะวันตก ภายในประดิษฐานหลวงพ่อโต สร้างโดยช่างชาวพม่า ซึ่งจำลองแบบพระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) จากวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร ตัววิหารก่ออิฐฉาบปูน ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นรูปทรงโค้ง หลังคามุงด้วยสังกะสี เชิงชายมีฉลุลูกไม้แบบขนมปังขิงที่นิยมสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตก วัดจองกลางเดิมเป็นศาลาการเปรียญที่ชาวบ้านสร้างถวายให้แก่พระภิกษุชาวพม่าที่มาร่วมงานศพเจ้าอาวาสวัดจองใหม่ ด้วยความศรัทธาชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านมาอยู่ประจำศาลาต่อ จนเกิดเป็นวัดจองกลางขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยมีพิพิธภัณฑสถานวัดจองกลาง ซึ่งจัดแสดงวัตถุโบราณจำนวนมาก […]

อนุสาวรีย์เมืองเชียงใหม่ “ประตูท่าแพ” ในยุคใหม่ของเมืองเก่า

เมืองเชียงใหม่ เมืองเก่าอายุเกือบ 700 ปี เคยรุ่งเรืองด้วยกำแพงเมืองและประตูเมืองโบราณอันงดงาม ในอดีต ประตูท่าแพซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเวียงเชียงใหม่ ถือเป็นหนึ่งในประตูเมืองชั้นในที่สำคัญ เมื่อสมัยโบราณ ประตูเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับการขนส่งรถยนต์หรือการจราจรในสมัยปัจจุบัน แต่เป็นจุดรับรู้ความเป็นตัวตนของเมือง เกิดขึ้นเพื่อเป็นแนวป้องกันและเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเกียรติยศและอารยธรรมของชาวเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อปี พ.ศ. 2503 เทศบาลนครเชียงใหม่ได้ดำเนินการรื้อถอนประตูเมืองเดิมลงเพื่อขยายถนนสู่ความสะดวกสบายของการขนส่งในยุคใหม่ และสร้างหลักประตูสองข้างขึ้นมาใหม่แทนที่ ประตูท่าแพในสมัยนั้นจึงกลายเป็น “ประตูเทียม” ที่ไม่อาจสอดคล้องกับความงดงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของประตูเมืองโบราณได้เต็มที่ จากนั้นจึงมีความพยายามที่จะรื้อถอนประตูเทียมนี้ออกและสร้าง “ประตูจริง” ขึ้นใหม่ โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีและภาพถ่ายเก่าที่มีอายุเกือบ 100 ปีเป็นแนวทางในการออกแบบ เพื่อให้ประตูที่สร้างขึ้นใหม่สามารถบอกเล่าอดีตอันยิ่งใหญ่ของเมืองเชียงใหม่ได้อย่างแท้จริง การสร้างประตูใหม่ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อให้เป็นอนุสาวรีย์แห่งอดีตเท่านั้น แต่ยังมีเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์และถ่ายทอดคุณค่าทางวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แม้ในยุคที่กำแพงเมืองและประตูเมืองโบราณนั้นได้สูญเสียหน้าที่ทางสังคมไปแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงมีความหมายและเป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำของประชาชน ที่บอกเล่าเรื่องราวการปกครอง การต่อสู้ และความเป็นอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ถนนท่าแพที่ทอดยาวตามริมฝั่งแม่น้ำปิงก็เป็นอีกหนึ่งจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ แม้สภาพการขนส่งและการสัญจรในยุคปัจจุบันจะเปลี่ยนไปจากอดีตมาก แต่ถนนท่าแพยังคงเป็นสัญลักษณ์ของการค้าขายและการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างชุมชนโดยรอบ ที่ซึ่งความเป็นเมืองเก่าและวิถีชีวิตชาวบ้านยังคงปรากฏอยู่ในทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าดั้งเดิม ร้านนานาชาติ หรือแม้แต่การตกปลาบนคูเมืองที่ยังคงรักษาความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติไว้ แนวคิดในการสร้างประตูและกำแพงเมืองใหม่นี้ จึงไม่ใช่แค่การปรับปรุงเพื่อรองรับการจราจรสมัยใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการรื้อฟื้นและนำสิ่งที่มีค่าทางประวัติศาสตร์กลับมาเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักและภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเองอีกด้วย ซึ่งในที่สุดแล้ว อนุสาวรีย์ประตูท่าแพและถนนท่าแพกลายเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติต่างเดินทางมาเยี่ยมชม เพื่อสัมผัสกับความเป็นเมืองเก่าและรับรู้เรื่องราวแห่งอดีตที่ยังคงถ่ายทอดผ่านโครงสร้างสถาปัตยกรรมและบรรยากาศแห่งความศรัทธาของชาวเชียงใหม่ ประตูท่าแพและถนนท่าแพจึงไม่เพียงแต่เป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงอดีตอันยิ่งใหญ่ของเมืองเชียงใหม่ แต่ยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอดีตและปัจจุบัน ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่และความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมล้านนาที่ไม่เคยหายไป แม้จะต้องปรับตัวตามยุคสมัยไปอย่างต่อเนื่องก็ตาม ที่มา: https://www.silpa-mag.com/history/article_88550 […]

1 2 3 39