คนไทยหนี้ครัวเรือนปี 67 พุ่งแตะ 91.4% ต่อ GDP

ในยุคที่เศรษฐกิจมหภาคก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เรามักพบว่าตัวชี้วัดหนึ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเจริญนี้คือสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่สูงเกิน 90% ของจีดีพีที่บันทึกไว้ที่ 94% แต่ปัจจุบันได้ปรับตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 90.9% แล้วในปี 2567 จากการประเมินของทีทีบี คาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 91.4% ต่อจีดีพี สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของหนี้บัตรเครดิต, หนี้ลิสซิ่ง, และหนี้ส่วนบุคคล ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนนี้เปราะบางและมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น

ประการแรก คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและรายได้ที่เติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเงิน

ประการที่สอง คือ ต้นทุนทางการเงินที่พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน

ประการสุดท้าย คือ พฤติกรรมการก่อหนี้ที่ขาดวินัยทางการเงิน ทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อของวงจรหนี้ที่ไม่สิ้นสุด

ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทยเผยว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 หนี้ครัวเรือนไทยมีมูลค่าคงค้างอยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 90.9% ของจีดีพี สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการชะลอตัวของหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถาบันการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์เริ่มมีความระมัดระวังมากขึ้นในการอนุมัติสินเชื่อ

จากการสำรวจคุณภาพของหนี้ครัวเรือน พบว่ามีแนวโน้มการด้อยคุณภาพลง สะท้อนผ่านสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ที่ 2.79%, หรือประมาณ 152,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนถึง 3.6% การเติบโตของหนี้ครัวเรือนในหลายปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของประเทศไทยอยู่ในระดับสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน และยังสูงกว่าหลายประเทศพัฒนาที่มีรายได้และความมั่งคั่งสูงกว่า.

เมื่อพิจารณาถึงหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี สิ่งสำคัญคือต้องมองในหลายมิติ ไม่ใช่เพียงแค่การก่อหนี้ แต่ยังต้องพิจารณาถึงสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ, การก่อหนี้, หรือรายได้ที่ไม่เติบโตตามค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ มี 3 ประเด็นหลักที่ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนมีความเปราะบาง :

1. เศรษฐกิจและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งหมายความว่าถ้าหนี้เติบโตแต่รายได้เติบโตมากกว่า สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะลดลง แต่ถ้ารายได้ลดหรือหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่มีการเติบโตของรายได้ที่สอดคล้องกัน หนี้ต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้น.

2. ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากการปรับปรุงนโยบายการเงินในช่วงวิกฤต COVID-19 ทำให้การประเมินฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย

3. พฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงิน ซึ่งอาจกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น แต่จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวชะลอลง.

การจัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเข้าใจสาเหตุและประเด็นความเปราะบางเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการค้นหาวิธีการบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว.

เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศไทยในบริบทโลก, มาดูตัวเลขที่น่าสนใจจากธนาคารแห่งประเทศไทยและการเปรียบเทียบในระดับสากล ปัจจุบันไทยอยู่ในอันดับที่ 7 ของโลกในเรื่องหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ราว 91% ตามข้อมูลจากเทรดดิ้งเอโคโนมิค แม้ตัวเลขนี้จะดูใหญ่มาก แต่เมื่อเทียบกับประเทศอย่าง สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, แคนาดา, เกาหลีใต้, ฮ่องกง, และนิวซีแลนด์ ที่นำหน้าไทย เราจึงเห็นว่าไทยไม่ได้เดินทางมาเพียงลำพังแต่รายได้กับหนี้ของเขานั้นเป็นหนี้ดีชึ่งแตกต่างจากไทยที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียชะมากกว่า.

ในเอเชีย ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ซึ่งสูงกว่าญี่ปุ่น, มาเลเซีย, จีน, และสิงคโปร์ การดำรงอยู่ในสัดส่วนที่สูงนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้บ้านในไทยเป็นอย่างไร?”

เมื่อพิจารณาถึงหนี้บ้าน ซึ่งถือเป็น “หนี้ที่ดี” เพราะอาจสร้างรายได้และมูลค่าบ้านมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราพบว่าในเกาหลีใต้หนี้บ้านคิดเป็น 50% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่ฮ่องกงอยู่ที่ 70%. แต่ว่าดอกเบี้ยบ้านในไทยอยู่ที่ราว 3.7% ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่สูงถึงประมาณ 16%.

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่าสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คิดเป็นประมาณ 35% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ต่างจากฮ่องกงและเกาหลีใต้ที่มีสัดส่วนสูงกว่า นอกจากนี้ หนี้ที่ไม่สร้างรายได้ เช่น สินเชื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ คิดเป็นส่วนที่สูง

จึงเห็นได้ชัดว่าประเด็นหลักไม่ใช่แค่หนี้ครัวเรือนที่สูง แต่คือประเภทของหนี้ที่มี หนี้ดีอย่างอสังหาริมทรัพย์มีน้อย ขณะที่หนี้ที่ไม่สร้างรายได้มีมาก นี่คือสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามจัดการผ่านการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบและการปรับปรุงพฤติกรรมทางการเงิน

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและค่านิยมที่เน้นการบริโภคทันทีทันใดทำให้พฤติกรรมในการจัดการหนี้และการสร้างสินทรัพย์ของคนไทยเปลี่ยนไป ในอดีตการสร้างหนี้จะเรียงลำดับความสำคัญ คือ บ้าน รถและ อุปโภคบริโภค แต่ปัจจุบันมันกลับกัน

คำถามเรื่อง “ความจำเป็น” ที่เพิ่มขึ้นตามแต่ละบุคคลเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการนำไทยผ่านวิกฤตหนี้ครัวเรือนนี้ ดังนั้น การเข้าใจด้านมหภาคและพฤติกรรมส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญในการหาทางออกเรื่องหนี้ที่ยั่งยืนอย่างแน่นอน

เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ

ร่วมแสดงความคิดเห็น