จ.ย.ย.ชนประสานงากัน บนดอยภูชี้ฟ้า

เมื่อเวลา 16.20 น. วันที่ 15 ส.ค. 65 ร.ต.อ.วรเมธ ธรรมจันตา รอง สว.(สอบสวน) สภ.เทิง จ.เชียงราย ได้รับแจ้งเหตุมีรถจักรยานยนต์ชนกัน มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย และบาดเจ็บสาหัส 1 ราย พื้นที่บ้านราษฎร์ภักดี ม.10 ต.ตับเต่า อ.เทิง จึงแจ้งผู้บังคับบัญชาทราบ และรีบรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ที่เกิดเหตุเป็นถนนทางแยกไปจากทางหลวงหมายเลข 1155 จะขึ้นผ่านไปทางหมู่บ้านราษฎร์ภักดีและไปบรรจบกับถนนทางหลวงหมายเลข 1093 ที่บริเวณสามแยกสถานีควบคุมไฟป่าภูชี้ฟ้า จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณป้ายชื่อหมู่บ้านราษฎร์ภักดี ม.10 เมื่อไปถึงพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจภูชี้ฟ้า และทหารชุด คปส.4 ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุและอำนวยความสะดวก ด้านการจราจรอยู่ก่อนแล้ว โดยมีญาติและคนรู้จักของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ มาอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก

พบผู้บาดเจ็บเป็นชายวัยรุ่น ทราบชื่อคือนายวิโรจน์ (สงวนนามสกุล) ชาวบ้าน ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย สวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ได้รับบาดเจ็บนอนตะแคงไม่ได้สติอยู่กลางถนน ห่างไปประมาณ 5 ม. พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ ไอ สีน้ำเงิน ทะเบียน เชียงราย ซึ่งเป็นของผู้บาดเจ็บล้มอยู่กลางถนนฝั่งขาขึ้นภูชี้ฟ้า ซึ่งคนได้รับบาดเจ็บถูกช่วยเหลือนำส่ง รพ.เทิง ไปก่อนที่พนักงานสอบสวนจะไปถึงที่เกิดเหตุ และได้ถูกส่งตัวไปรักษาที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ แล้ว

และที่ริมถนนฝั่งขาลงจากภูชี้ฟ้ามุ่งหน้าไปทาง อ.เทิง พบศพผู้เสียชีวิต เป็นชายสูงอายุ ทราบชื่อคือนายไซโต้ง (สงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี ชาวบ้าน ต.ตับเต่า อ.เทิง จ.เชียงราย สวมเสื้อคอปกสีฟ้าอ่อนกางเกงขายาวสีกรมท่า มีบาดแผลที่ศรีษะ ที่เท้าของผู้เสียชีวิตมีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ ไอ สีดำ ทะเบียน เชียงราย ล้มทับอยู่

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบร่องรอยการชนที่บริเวณถนนฝั่งขาลงจากภูชี้ฟ้า และมีรอยครูดไปตามพื้นถนนฝั่งขาขึ้นไปภูชี้ฟ้าในจุดที่รถของผู้บาดเจ็บล้มอยู่ เบื้องต้นจึงคาดว่า ผู้บาดเจ็บซึ่งขับรถมาจากทาง อ.เทิง มุ่งหน้าไปทางภูชี้ฟ้า เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งมีลักษณะเป็นทางโค้งลงเนิน ได้เกิดเสียการควบคุม รถหลุดโค้งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และชนประสานงากับรถของผู้เสียชีวิตอย่างแรง เป็นเหตุให้นายไซโต้งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนนายวิโรจน์และรถได้ล้มกระเด็นกลับมายังถนนฝั่งขาขึ้นภูชี้ฟ้า ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องสวนสวนพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น