ย้อนรอยสี่แยกช้างเผือกก่อนสร้างวงเวียนน้ำพุ 2503

ย่านช้างเผือกหมายถึงบริเวณประตูช้างเผือก ตั้งอยู่บริเวณถนนช้างเผือกต่อกับถนนโชตนา ชื่อย่านช้างเผือกน่าจะมาจากรูปปั้นช้างเผือก 2 ตัว คือ ปราบจักรวาลและปราบเมืองมารเมืองยักษ์ ซึ่งพระเจ้ากาวิละโปรดให้สร้างไว้ที่ประตูหัวเวียง ปัจจุบันช้างเผือกทั้งสองนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าของประตูขนส่งช้างเผือก ส่วนที่บริเวณด้านหน้าประตูช้างเผือกได้สร้างน้ำพุรูปช้างเผือก (ช้างทาสีขาว) ตั้งอยู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของประตูช้างเผือก ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่าเคยมีการสร้างช้างเผือกมาแล้วตั้งแต่สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับจากการทำศึกกับสุโขทัย

แต่เดิมย่านช้างเผือกเป็นที่รวมของชุมชนหลากหลายเชื้อชาติเช่นเดียวกับย่านอื่นๆ คือมีทั้งชาวจีน คนเมือง คนไทยใหญ่ และมุสลิม ความหลากหลายของผู้คนเหล่านี้เห็นได้จากศาสนสถานซึ่งเป็นสถานที่ทำบุญของแต่ละชุมชนที่ยังคงอาศัยอยู่จนถึงทุกวันนี้ เช่น กลุ่มคนเมืองและคนจีนไปวัดเชียงยืน คนไทยใหญ่ไปวัดป่าเป้า ส่วนคนมุสลิมก็มีมัสยิดเป็นศูนย์รวมจิตใจอยู่ในชุมชน ชุมชนมุสลิมแห่งนี้เพิ่งจะมาตั้งอยู่ที่นี่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง

ภาพจาก: ศิลปวัฒนธรรม

อาชีพหนึ่งที่เคยเป็นอาชีพหลักของชาวไทยใหญ่ในแถบนี้คือ การทำหนังพอง ที่นิยมรับประทานแกล้มกับขนมจีนน้ำเงี้ยว หนังพองมีลักษณะคล้ายแคบหมูทำจากหนังวัว ในขณะที่แคบหมูทำจากหนังหมู ปัจจุบันอาชีพนี้หายไปจากชุมชนหมดแล้ว

ใกล้ๆ กับประตูช้างเผือก เป็นที่ตั้งของตลาดช้างเผือก แต่เดิมเป็นย่านการค้าที่มีกลุ่มพ่อค้าจากทางเหนือของเมืองนำของมาวางขายร่วมกับคนในย่านชุมชนนี้ ปัจจุบันพ่อค้ากลุ่มนี้ยังมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก ตลาดช้างเผือกเป็นตลาดสด เริ่มติดตลาดตั้งแต่ตี 3 ตี 4 พอสายสัก 9 โมงเช้าตลาดก็เริ่มวายแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าขายปลีกและกลุ่มที่ทำอาหารขาย ฉะนั้นของที่ขายที่นี่จะมีทั้งอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป ส่วนหนึ่งขายกันแบบยกโหล เช่นแคบหมู โจ๊ก บะหมี่ และก๋วยจั๊บ รวมทั้งอาหารสดเช่น หมู ไก่ และเนื้อ แม่ค้าจะทำเป็นห่อเล็กๆ ใส่ถุงๆ ละ 12 ห่อ ผู้ซื้อจะนำไปขายให้กลุ่มคนงานที่เข้าทำงานซึ่งมีทั้งคนงานก่อสร้างและคนงานเก็บลำไยเป็นต้น ตลาดช้างเผือกเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งในตอนเย็น เพราะลานด้านหน้าตลาดจะเป็นที่ตั้งของตลาดโต้รุ่งที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเชียงใหม่

หากเดินเข้าไปในบริเวณกำแพงเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน จะเห็นภาพของต้นไม้ คูน้ำ กำแพงเมืองและถนนที่ทอดยาวโอบล้อมเมืองไว้ เป็นภาพที่ก่อให้เกิดความสบายตาและสงบร่มรื่นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นภาพที่แตกต่างจากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่อายุ 70-80 ปี ที่เล่าว่าเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก บริเวณกำแพงเมืองมีสภาพทรุดโทรม บางส่วนมีหญ้ารกปกคลุม และบางส่วนพังทลาย ถนนริมกำแพงเมืองด้านในเป็นเพียงทางเดินแคบๆ ส่วนถนนริมคูเมืองด้านนอกแคบมากขนาดคนเดินสวนกันได้เท่านั้น เกวียนไม่สามารถเดินผ่านได้ ผู้คนมักไม่กล้าเดินผ่านเพราะเปลี่ยวมาก มีหลักฐานว่าตั้งแต่ปี 2508 เป็นต้นมาทางเทศบาลได้เริ่มบูรณะประตูเมืองและแจ่งเมืองให้ดูเป็นระเบียบดังที่เห็นในปัจจุบัน
ในปัจจุบันกำแพงเมืองเชียงใหม่มี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นกำแพงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยอิฐมีขนาดกว้าง 900 วา ยาว 1,000 วา อีกส่วนเป็นกำแพงดินที่โอบล้อมเมืองตั้งแต่บริเวณถนนท่าแพใกล้วัดบุพพารามทอดยาวไปจนถึงโรงพยาบาลสวนปรุง

 ในบริเวณมุมกำแพงเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคนเมืองเรียกว่า แจ่ง แต่ละแจ่งมีชื่อเรียกดังนี้ คือ แจ่งหัวรินที่ถนนห้วยแก้วตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม แจ่งศรีภูมิตรงข้ามวัดชัยศรีภูมิ วัดนี้เดิมชื่อวัดพันตาเกิ๋น เนื่องจากมีเรื่องเล่าว่าคูเมืองตรงนี้ลึกมาก ต้องใช้บันไดไม้ไผ่ยาวถึง 1,000 ข้อ จึงจะสามารถหยั่งถึงพื้นได้ คนเมืองเรียกบันไดไม้ไผ่ว่าเกิ๋น จึงเรียกวัดนี้ว่าวัดพันตาเกิ๋น แจ่งขะต๊ำ ใกล้ๆ กับวัดพวกช้าง  ขะต๊ำ หมายถึงเครื่องมือจับปลาประเภทหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมบริเวณนี้ปลาชุกชุม ผู้คนมักจะมาดักปลาโดยใช้  ขะต๊ำ ในบริเวณนี้จึงได้ชื่อว่าแจ่งขะต๊ำ แจ่งกู่เฮืองตรงกันข้ามโรงพยาบาลสวนปรุง

กำแพงเมืองแต่ละด้านจากแจ่งสู่แจ่ง เจาะช่องประตูเป็นทางเข้าออกเมืองดังนี้ จากแจ่งหัวรินถึงแจ่งศรีภูมิมีประตูช้างเผือก จากแจ่งศรีภูมิถึงแจ่งขะต๊ำมีสองประตูคือ ประตูช้างม่อยและประตูท่าแพ จากแจ่งขะต๊ำถึงแจ่งกู่เฮือง มีสองประตูคือ ประตูเชียงใหม่และประตูสวนปรุง และจากแจ่งกู่เฮืองถึงแจ่งหัวรินมีประตูสวนดอก บริเวณประตูทั้ง 6 ประตู มีจารึกลงยันต์และคาถาบนศิลาจารึกติดไว้ที่ทางเข้าออกประตู แต่ที่ประตูช้างม่อยหายไป ในขณะที่บางแห่งได้ทำคัดลอกขึ้นใหม่ เช่นที่ประตูสวนปรุงและประตูสวนดอก เป็นต้น

ทั้งด้านในและด้านนอกกำแพงเมืองแต่ละด้านมีถนนวิ่งผ่านโดยรอบ แต่ละถนนมีชื่อต่างกันดังนี้ จากแจ่งหัวรินถึงแจ่งศรีภูมิด้านในกำแพงเมือง เป็นถนนศรีภูมิ ด้านนอกเป็นถนนมณีนพรัตน์ จากแจ่งศรีภูมิถึงแจ่งขะต๊ำด้านในกำแพงเมือง เป็นถนนมูลเมือง ด้านนอกจากแจ่งศรีภูมิถึงประตูท่าแพ เป็นถนนชัยภูมิ จากประตูท่าแพถึงแจ่งขะต๊ำเป็นถนนคชสาร จากแจ่งขะต๊ำถึงแจ่งกู่เฮืองด้านในกำแพงเมือง เป็นถนนบำรุงบุรี ด้านนอกจากแจ่งขะต๊ำถึงประตูเชียงใหม่เป็นถนนราชเชียงแสน จากประตูเชียงใหม่ถึงแจ่งกู่เฮืองเป็นถนนช่างหล่อ และจากแจ่งกู่เฮืองถึงแจ่งหัวรินด้านในเป็นถนนอารักษ์ ด้านนอกเป็นถนนบุญเรืองฤทธิ์
ปรากฏหลักฐานในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ว่า กำแพงเมือง คูเมือง และประตูเมือง สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองเชียงใหม่ แต่มีการบูรณะซ่อมแซมต่อมาอีกหลายสมัย

เมื่อพระยามังรายโปรดให้สร้างเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา พระองค์โปรดให้สร้างเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 900 วา ยาว 1000 วา และโปรดให้ขุดคูรอบเวียง เข้าใจว่ากำแพงเมืองในสมัยนี้ยังเป็นกำแพงที่ทำด้วยดิน เนื่องจากการสร้างกำแพงด้วยอิฐนั้นมีหลักฐานว่า สร้างในสมัยพระเมืองแก้ว ที่พระองค์โปรดให้ ปั้นดินจักก่อเมฆเวียงเชียงใหม่ และ             ในสมัยพระเจ้ากาวิละ เมื่อพระองค์กลับมาซ่อมแซมเมืองเชียงใหม่ ทรงโปรดให้…สร้างรั้วแปลงเวียงก่อเมกปราการ กำแพงเชิงเทิน หอป้อมบานประตูหื้อแน่นหนา มั่นคง ขุดร่องคือเอาน้ำเข้า เพื่อให้เป็นที่ขามแข็งทนทานแก่ข้าศึก…


สำหรับประตูเมืองเชียงใหม่นั้น เมื่อแรกสร้างเมืองเชียงใหม่ พระยามังรายทรงมีดำริที่จะ … แปงประตูห้าแห่ง… ซึ่งไม่พบหลักฐานว่าในสมัยพระองค์ได้มีการสร้างประตูเสร็จทั้งห้าแห่งหรือไม่ เนื่องจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า ในสมัยพระเจ้าติโลกราช เชียงใหม่มีประตูเมือง 6 ประตู ซึ่งประตู 2 แห่งได้สร้างในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนและพระเจ้าติโลกราชตามลำดับ

ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนโปรดให้สร้างประตูสวนแหเพื่อให้ความสะดวกแก่พระราชมารดาในการเสด็จไปควบคุมการก่อสร้างองค์เจดีย์หลวง ซึ่งในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมาเจดีย์องค์นี้สร้างยังไม่แล้วเสร็จ ที่ต้องเจาะประตูเพิ่มเพราะพระราชมารดาประทับอยู่ที่บ้านสวนแหด้านนอกกำแพงเมือง ซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่สวนปรุงในปัจจุบัน
ในสมัยพระเจ้าติโลกราชเมื่อพระองค์โปรดให้สร้างที่ประทับแห่งใหม่ ในบริเวณใกล้กับแจ่งศรีภูมิ จึงโปรดให้สร้างประตูศรีภูมิขึ้นอีกหนึ่งประตู เพื่อความสะดวกในการเดินทาง

 คนโบราณเชื่อว่าบริเวณประตูและแจ่งต่างๆ เป็นที่อยู่ของเทวดาอารักษ์ที่คอยดูแลรักษาเมืองและผู้คนให้มีความสุขและให้บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ เทวดาอารักษ์เหล่านี้เปรียบเสมือนศรีและขวัญของเมือง ชาวเมืองต้องทำพิธีบูชาผีและอารักษ์เมืองทุกปี และในทางกลับกันหากต้องการทำลายเมือง วิธีหนึ่งคือการทำลายศรีและขวัญเมือง ด้วยการทำขึดบริเวณประตูเมือง ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของเทวดาอารักษ์เมือง เหมือนเช่นในสมัยพระเจ้าติโลกราช ทางอาณาจักรอยุธยาได้ส่งคนมาทำลายศรีและขวัญเมืองด้วยการทำคุณไสยนำไหใส่ยา (ของที่ไม่เป็นมงคล) ไปฝังไว้กลางเมืองและบริเวณประตูเมืองทั้งหกแห่ง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายภายในเมือง จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าติโลกราชทรงทราบและโปรดให้แก้อาถรรพ์นำไหออกไปเผา ทำให้เชียงใหม่หมดเคราะห์ร้าย และค่อยๆ ดีตามลำดับ

อาจารย์มณี พยอมยงค์กล่าวถึง เทวดาอารักษ์ที่สิงสถิตย์อยู่ที่ประตูเมืองไว้ดังนี้ เทวบุตร สุรักขิโต รักษาประตูช้างเผือกและประตูท่าแพตะวันออก เทวบุตรไชยภุมโม รักษาประตูเชียงใหม่และประตูเมืองด้านใต้ เทวบุตรสุรขาโต รักษาประตูสวนดอกด้านทิศตะวันตก เทวบุตรคันธรักขิโตรักษาประตูช้างเผือกด้านทิศเหนือ

สำหรับบริเวณแจ่งต่างๆ มีศาลประจำแจ่ง ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของผีอารักษ์เมือง ศาลประจำแจ่งที่สำคัญที่สุดคือ ศาลประจำแจ่งศรีภูมิ เพราะเป็นบริเวณที่ทำพิธีเซ่นหรือเลี้ยง ผีเจ้าหลวงคำแดง ซึ่งเป็นอารักษ์เมืองที่มีอิทธิพลสูงสุด สูงกว่าผีตนใดในเชียงใน มีสถานะเป็นผีเจ้านาย โดยปกติผีเจ้าหลวงคำแดงจะสถิตย์อยู่ที่ดอยเชียงดาว

ขอบคุณภาพและข้อมูล : สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ร่วมแสดงความคิดเห็น