นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในการเสวนา “ถอดรหัสมะเร็งกับสุรา : ปัญหาชีวิตคนไทย” ที่ สสส. ร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา และเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) จัดขึ้นเนื่องในวันมะเร็งโลก (4 ก.พ.) ว่า ที่ผ่านมามักมีคำถามว่า ทำไมบางคนดื่มเครื่องดื่มแลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่เป็นมะเร็ง แต่บางคนกลับไม่เป็น ต้องเข้าใจกลไกการเกิดมะเร็งว่า เป็นเซลล์ของร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรม เป็นเซลล์กบฏที่อยู่ในร่างกาย จากการถูกทำร้ายซ้ำๆ โดยหนึ่งในสารก่อมะเร็งคือ เหล้า บุหรี่ หากคนที่อายุยังน้อย ร่างกายแข็งแรง อาจจะไม่เกิดมะเร็งทันที แต่อวัยวะจะค่อยๆ เสียหาย จนไม่สามารถทำลายสารก่อมะเร็งได้ตามปกติ ทำให้สารก่อมะเร็งเข้ามาโจมตีร่างกายได้มากและเร็วขึ้น
เหล้า บุหรี่ เป็นสารเสพติดที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายอวัยวะ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งทางเดินหายใจ เป็นต้น ที่ต้องเตือนเพราะปกติแม้ไม่ตั้งใจรับสารก่อมะเร็ง แต่ก็ถูกบังคับให้รับจากสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อน ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ การรับสารก่อมะเร็งโดยตั้งใจและพยายามจะเสพเข้าไปเพื่อหาความสุขสำเร็จรูปจากเหล้า บุหรี่ มีงานวิจัยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์ทุกๆ 1 แก้วที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ชีวิตสั้นลง 30 นาที
ด้าน ศ.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า ข้อมูลปี 2564 จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง โดยกลุ่มนักดื่มหนักที่ดื่มเบียร์ 5 กระป๋องต่อวัน เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งช่องปากและมะเร็งหลอดอาหาร 5 เท่า มะเร็งกล่องเสียง 2.6 เท่า มะเร็งตับ 2 เท่า มะเร็งเต้านม 1.6 เท่า และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่ดื่ม และงานวิจัย meta-analysis ปี 2020 ในวารสาร Alcohol and Alcoholism ได้รวบรวมงานวิจัย 22 ชิ้นในอดีต พบว่าการดื่มแอลกอฮอล์ทุก 1 หน่วยดื่มมาตรฐาน หรือ 10 กรัมต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงเกิดมะเร็งเต้านม ร้อยละ 10 จึงกล่าวได้ว่า แอลกอฮอล์เป็นสารก่อมะเร็ง ถึงดื่มปริมาณน้อยก็เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่ดื่มและการดื่มไวน์แดงก็ไม่ได้ช่วยป้องกันมะเร็งแต่อย่างใด การไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นการดีที่สุด
ร่วมแสดงความคิดเห็น