ฝ้า กระ รักษาอย่างไรให้หาย?

ปัญหาเรื่อง กระ ฝ้า นับเป็นปัญหากวนใจทุกคน โดยเฉพาะสาวๆ ที่มักจะพบกระ ฝ้า ขึ้นบนใบหน้า ทำให้ขาดความมั่นใจในการเปิดเผยใบหน้า ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักจะพบบ่อยในผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หากรักษาไม่ถูกวิธีอาจจะส่งผลให้กระ ฝ้าเพิ่มมากขึ้นหรือสีเข้มกว่าเดิม จนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หลายคนอาจจะมีคำถามว่าส่วนไหนของร่างกายที่มักจะเกิด ฝ้า กระ ได้ง่าย คำตอบคือ

สำหรับฝ้า บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่

  • หน้าผาก
  • จมูก
  • โหนกแก้ม
    บริเวณที่พบได้แต่ไม่บ่อยเท่าในส่วนของใบหน้าคือ
  • รอบดวงตา
  • แขน

ส่วนกระสามารถพบได้บ่อยบริเวณโหนกแก้ม และดั้งจมูก

🔸ฝ้า กระ เกิดจากอะไร?
ฝ้าและกระเกิดจากเซลล์เม็ดสีในร่างกายของคนเรา ถูกปัจจัยต่างๆ กระตุ้น ส่งผลให้เซลล์เม็ดสีสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น และส่งผ่านเม็ดสีมายังบริเวณของผิวหนัง ทำให้เราเห็นสีผิวบริเวณดังกล่าวเข้มขึ้น นอกจากนี้สำหรับฝ้ายังมีเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ หลั่งสารใต้ผิวหนัง มากระตุ้นเม็ดสีให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น และกระตุ้นให้มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณที่มีเม็ดสีหรือที่เป็นฝ้า ดังนั้นในบางคนจะสังเกตเห็นว่าที่บริเวณเกิดฝ้ามีเส้นเลือดอยู่ร่วมด้วยเรียกว่า “ฝ้าเลือด”

🔸ฝ้าและกระ ต่างกันอย่างไร
ฝ้า จะมีลักษณะเม็ดสีเป็นปื้นๆ เรียบไปกับผิวหนัง มีทั้งสีน้ำตาลเข้ม น้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลอมเทา ขึ้นอยู่กับความตื้นลึกของฝ้าว่าอยู่ในชั้นไหนของผิวหนัง
กระ จะมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ ขอบเขตชัดเจน กระจายอยู่เด่นที่บริเวณโหนกแก้ม ดั้งจมูก

🔸ปัจจัยที่ทำให้เกิด ฝ้า กระ

  • พันธุกรรม
  • แสงแดด (UV)
  • ฮอร์โมน
  • ยาคุมกำเนิด , ยากันชักบางตัว
  • แสงสีขาว
  • ความร้อน (เช่น ผู้ที่ต้องทำงานหน้าเตา)

🔸แนวทางการรักษา
•ลดการทำงานของเซลล์เม็ดสี

  • ป้องกันรังสี UV และ VL (visible light)
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ
  • ใช้ยาหรือเวชสำอางที่มีฤทธิ์ลดการทำงานของเม็ดสี
    •กำจัดเม็ดสีที่สร้างมากเกินไป
  • เพิ่มการผลัดเซลล์ผิว
  • การใช้เลเซอร์
    •ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • แนะนำให้ใช้ครีมกันแดด (Sunscreen) ที่สามารถป้องกันรังสี UV และ Visible light ได้ ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยสำหรับการทาทั่วใบหน้าแนะนำให้ใช้ปริมาณ 2 ข้อนิ้วมือ หรือประมาณเหรียญสิบบาท และแม้ว่าจะอยู่ในอาการก็แนะนำให้ทาสารกันแดดทุกวัน ส่วนในกรณีที่ต้องอยู่กลางแดด หรือต้องลงน้ำแนะนำให้ทาครีมกันแดดซ้ำอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
  • เสื้อผ้าก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันแดด เสื้อผ้าที่มีโทนสีเข้มจะช่วยป้องกัน UV ได้ดีกว่าโทนสีอ่อน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ของผ้าที่ส่งผลต่อความสามารถในการป้องกันแดด เช่น เนื้อผ้า ซึ่งหากเราเลือกเสื้อผ้าที่มีประสิทธิภาพกัน UV ได้มาก ก็จะทำให้การปกป้องผิวหนังจากรังสี UV มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • การใช้หมวก หรือกางร่ม สำหรับหมวกแนะนำให้เลือกหมวกที่มีปีกกว้าง เพราะจะช่วยปกป้องใบหน้าจากรังสี UV ได้
  • กระจกหรือฟิล์มกรองแสง จะช่วยป้องกันแสงแดดที่ส่องมาในรถหรือในบ้าน สำหรับการรักษานั้น ยายังคงเป็นมาตรฐานหลักในการรักษาฝ้า ส่วนเลเซอร์หรืออาหารเสริมต่างๆ เป็นทางเลือกเสริมในการรักษาเพิ่มเติมควบคู่ไปกับการรักษาหลัก ส่วนกระนั้นสามารถใช้เลเซอร์เพื่อรักษาให้ดีขึ้นได้ ทั้งนี้การจะเลือกการรักษาอย่างไรนั้นต้องอาศัยการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการปรึกษาร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญเช่นกันนอกเหนือจากการรักษาคือการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการกลับเป็นซ้ำ ดังนั้นเมื่อเกิดฝ้า กระ และมีความกังวลใจ ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้องและเห็นผลที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก : อ.พญ.รุจิรา รุจิเวชพงศธร อาจารย์หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.

ติดตามผ่านทาง Facebook : https://cmu.to/pgkTU

เรียบเรียง : นางสาวสมัชญา หน่อหล้า
ภาพ/ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร งานประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์

ร่วมแสดงความคิดเห็น