มช.แถลงข่าวงานวิจัย “เกษตรอัจฉริยะ”

มช.แถลงข่าวงานวิจัย “เกษตรอัจฉริยะ” อนุญาตเอกชนให้ใช้สิทธิในเทคโนโลยีเครื่องผลิตน้ำกระตุ้นพลาสมา เพื่อยกระดับการปลูกพืชในระบบปิด

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ตอกย้ำความสำเร็จพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาผลักดันสู่การเกษตรอย่างยั่งยืน เชื่อมโยงผลงานวิจัย นักวิจัย และเครื่องมือวิจัย มาสร้างประโยชน์และคุณค่าในเชิงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในงานแถลงข่าวการอนุญาตเอกชนให้ใช้สิทธิในเทคโนโลยีเครื่องผลิตน้ำกระตุ้นพลาสมา เพื่อยกระดับการปลูกพืชในระบบปิด ร่วมกับ บริษัท แพทการ์เด้น จำกัด โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดี มช. กล่าวต้อนรับและกล่าวนโยบายการส่งเสริมงานวิจัยและนำงานวิจัยไปใช้เชิงพาณิชย์ พร้อมด้วย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิเคราะห์นโยบายและแผนงานวิจัยการเกษตร จากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และตัวแทนทีมวิจัย ร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ ในวันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2567 ณ NSP Exhibition Hall อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่)

ผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดี มช. กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีนโยบายส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนผลงานวิจัยให้พร้อมใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ในทางด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) การสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่ครอบคลุมทั้ง Hi-Tech และ Hi-Touch รวมถึงการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม และชุมชน (Social Innovation) จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก

ซึ่ง มช. ได้ศึกษางานวิจัยด้านพลาสมาทางการเกษตร โดยเริ่มต้นจากการโครงการสร้างเครื่องต้นแบบเพื่อลดปริมาณสารพิษทางการเกษตรตกค้างในผักและผลไม้ด้วยเทคโนโลยีพลาสมา ผ่านการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนา การวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ในการดำเนินโครงการดังกล่าวจนประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยเล็งเห็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับเทคโนโลยีพลาสมา จากการพัฒนาต่อยอดในการสร้างระบบการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์โดยใช้น้ำกระตุ้นด้วยพลาสมาให้เป็นแหล่งทดแทนการใช้สารเคมีไนโตรเจนในสารละลายธาตุอาหาร เพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของพืชและสามารถยกระดับเทคโนโลยีพลาสมาสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายผลงานวิจัยของ มช. ไปสู่การพัฒนาเป็นเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการเกษตรที่จะรองรับการเติบโตภาคเกษตรกรรมของประเทศต่อไป

สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) ในฐานะผู้สนับสนุนทุนสำหรับดำเนินงานวิจัยเพื่อการเกษตร
โดยคุณลัดดา ยาวิรัชน์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิเคราะห์นโยบายและแผนงานวิจัยการเกษตร เผยว่า สวก. มีนโยบายการส่งเสริม สนับสนุนพัฒนานักวิจัย และวิจัยการเกษตร เพื่อสร้างความเข้มแข็งของภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งจากนโยบายนี้ สวก. ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของงานวิจัยพลาสมาที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ได้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอุตสาหกรรมอาหาร สิ่งแวดล้อม การแพทย์ และการเกษตร โดยเฉพาะในส่วนของภาคการเกษตรนั้น สวก. ได้สนับสนุนทุนอุดหนุนงานวิจัยแก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับดำเนิน งานวิจัยเพื่อการเกษตรในครั้งนี้ ซึ่ง มช. นับว่าเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีความพร้อมในการสร้างเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ทางด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการสนับสนุนดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือระหว่าง มช. และภาคเอกชน ในการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาเพื่อยกระดับการปลูกพืชในระบบปิด และผลักดันการนำงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในวงการเกษตรต่อไป

ด้านคุณสัมพันธ์ พิพัฒน์วรการ ตัวแทน บริษัท แพทการ์เด้น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนจะนำเทคโนโลยีเครื่องผลิตน้ำกระตุ้นพลาสมาเพื่อยกระดับการปลูกพืชในระบบปิด จากการพัฒนาโดย มช. ครั้งนี้ มาประยุกต์ใช้ในการสร้าง “Smart Farm” ในการยกระดับการเกษตรของไทยให้เป็น “เกษตรอัจฉริยะ” ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร อีกทั้งการดำเนินโครงการ “1 อำเภอ 1 ฟาร์ม” ในกลุ่มของบริษัท ซึ่งจะช่วยขยายการใช้งานเทคโนโลยีพลาสมาในฟาร์มไปสู่วงกว้าง และส่งเสริมให้เกษตรกรไทยก้าวเข้าสู่ยุคเกษตรอัจฉริยะอย่างแพร่หลาย โดยในระยะแรกจะเปิดให้ฟาร์มที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในประสิทธิภาพของเครื่องและการใช้งานจริง ก่อนที่จะเริ่มจำหน่ายเครื่องให้กับเกษตรกรต่อไป

ซึ่งผลการดำเนินโครงการวิจัยครั้งนี้ มช. สามารถพัฒนาเครื่องสร้างน้ำกระตุ้นพลาสมา (Plasma activated water system) โดยเมื่อน้ำและอากาศที่ไหลผ่านเข้าสู่หลอดกำเนิดพลาสมา และถูกกระตุ้นด้วยพลังงานไฟฟ้าแรงดันสูง จะทำให้เกิดการแตกตัวของพลาสมาด้วยเทคนิคพินโฮล์พลาสมาเจ็ท (pinhole plasma jet) จากผลการดำเนินงานวิจัยพบว่า นอกจากอนุมูลอิสระไฮโดรดรอกซิลที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำพลาสมาแล้วยังพบว่าเครื่องสามารถเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศให้เป็นสารกลุ่มไนเตรทและไนไตรท์ ที่มีบทบาทสำคัญในการเร่งการเจริญเติบโตของพืชที่เกิดขึ้น ในการสร้างน้ำกระตุ้นด้วยพลาสมา นอกจากนี้ เมื่อทดลองเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตของผักที่ใช้สารละลายธาตุอาหารไนโตรเจนจากน้ำกระตุ้นพลาสมา กับสารเคมีไนโตรเจนในสารละลายธาตุอาหาร ขนาด และน้ำหนักของผัก ไม่แตกต่างกัน อีกด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น