เครือข่าย ปชช.สิ้นหวังรัฐบาลแก้ปัญหาฝุ่น ประกาศเขตมลพิษทางอากาศด้วยตัวเอง

เครือข่ายประชาชนสิ้นหวังรัฐบาลแก้ปัญหาฝุ่น ประกาศเขตมลพิษทางอากาศด้วยตัวเอง นักวิชาการชี้เชียงใหม่โมเดลเละไม่เป็นท่า ชวนเศรษฐากลับมาปั่นจักรยานที่เชียงใหม่อีกรอบ

มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ต่อเนื่องนานนับเดือน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างหนักหนาสาหัส ก่อนหน้านี้มีเสียงเรียกร้องจากนักวิชาการและภาคประชาสังคมให้จังหวัดเชียงใหม่ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีมลพิษทางอากาศ เพื่อใช้เครื่องมือทางกฏหมายและมาตรการเข้มงวดในการแก้ปัญหา แต่ในที่สุดแล้วนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ระบุว่ารัฐบาลใช้ความพยายามและให้งบประมาณในการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่แล้วและห่วงผลกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวหากประกาศเขตภัยพิบัติ

ล่าสุดเมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (4 เม.ย. 67) คณาจารย์คณะนิติศาสตร์และเครือข่ายประชาชนผู้ฟ้องคดีฝุ่น รวมตัวกันที่หน้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกมาเคลื่อนไหวด้วยความสิ้นหวังในการแก้ปัญหาฝุ่นควันของรัฐบาลด้วยการแถลงการณ์ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเขตมลพิษทางอากาศ เพื่อสร้างความตระหนักต่อความรุนแรงของปัญหามลพิษทางอากาศและเป็นการส่งเสียงเตือนภัยถึงอันตรายจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5

โดยแถลงการณ์ระบุว่า นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2567 ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ผู้คนจำนวนมากต้องเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจ ดังสามารถพบเห็นได้จากสื่อสารมวลชนและสื่อสมัยใหม่ที่มีการส่งต่อข้อมูลกันอย่างกว้างขวาง

ที่ผ่านมาเครือข่ายประชาชนภาคเหนือได้ดำเนินการฟ้องคดีนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำตัดสินเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 โดยกำหนดให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่เพื่อจัดทำแผนในการรับมือกับปัญหาฝุ่นที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ก็ได้อุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาลปกครองเชียงใหม่ อันทำให้การแก้ไขปัญหาด้วยมาตรการทางกฎหมายต้องทอดเวลาออกไป

ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับมลพิษทางอากาศที่รุนแรงในห้วงเวลาปัจจุบัน ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ยังไม่มีการใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าบัดนี้เชียงใหม่อยู่ภายใต้สถานการณ์มลพิษทางอากาศ ทั้งที่ควรต้องมีการแจ้งเตือน การแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันตัวพื้นฐานให้กับประชาชน การรับมือกับไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในห้วงเวลาก่อนหน้า แต่จะพบว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยังไม่ปรากฏขึ้นให้เห็น

ความเพิกเฉยของรัฐในการไม่จัดการและไม่ประกาศแผนฉุกเฉินเพื่อรับมือปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือเพราะห่วงผลกระทบที่จะมีต่อระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพียงด้านเดียวโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและสุขภาพของประชาชนย่อมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างร้ายแรง ละเลยต่อสุขภาพชีวิต อนามัย และความเป็นอยู่ของประชาชนที่ไม่ได้หายใจในอากาศที่สะอาด รวมถึงการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ทั้งหมดนี้เป็นภาระหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ไม่ปรากฎให้เห็น แม้นายกรัฐมนตรีจะมีการเยือนเชียงใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการจัดการปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่อย่างใด

ในสถานการณ์เฉพาะหน้า มีข้อมูลทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องประสบกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมา ในสถานการณ์ระยะยาว มีรายงานการศึกษาที่ขี้ให้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือเกือบทุกจังหวัดมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหอบหืด มะเร็งปอด และปอดอุดกั้นเรื้อรังสูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น ๆ อย่างชัดเจน ข้อมูลเหล่านี้ย่อมเป็นการยืนยันได้ว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือมีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชีวิตของประชาชน จึงจำเป็นที่จะต้องประกาศให้เป็นที่รับทราบกันว่าเชียงใหม่คือเมืองมลพิษทางอากาสในระดับรุนแรง โดยไม่จำเป็นต้องให้รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐเป็นผู้ประกาศ เพราะชัดเจนว่ายากจะฝากความหวังไว้ได้

การร่วมกันประกาศว่าเรากำลังอยู่ในเมืองที่ เผชิญกับมลพิษทางอากาศ มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าสภาพแวดล้อมขณะนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้คนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างรุนแรง และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนป้องกันตนเองเท่าที่จะกระทำได้ การปล่อยให้เด็ก ๆ คนแก่ ผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้าคนทำงานที่ต้องอยู่ในพื้นที่โล่งโดยไม่มีการแจ้งเตือนเพื่อให้เกิดการป้องกันตัวถือเป็นความอำมหิตอย่างยากจะปฏิเสธ รวมถึงการกระตุ้นเตือนบรรดานักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ให้มีการป้องกันตัวเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

ในนามของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่จึงขอประกาศว่าเชียงใหม่ในห้วงเวลานี้ คือเขตมลพิษทางอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนอย่างรุนแรง เพื่อเป็นสร้างความตระหนักต่อความรุนแรงของปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมทั้งใคร่ขอเรียกร้องให้ประชาชนในจังหวัดอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศได้ร่วมกันประกาศว่าจังหวัดของตนก็เป็นเขตมลพิษทางอากาศเช่นเดียวกันกับจังหวัดเชียงใหม่

การร่วมกันประกาศเขตมลพิษทางอากาศโดยประชาชนในทุกพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหานี้ นอกจากจะเป็นการส่งเสียงเตือนถึงภัยอันตรายจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ระหว่างประชาชนด้วยกันแล้ว ก็จะยังเป็นการร่วมกันกดดันให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการในการรับมือกับปัญหา

รศ.สมชาย ศิลปะกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝุ่นในจังหวัดเชียงใหม่ขณะนี้อยู่ในระดับอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพประชาชน ที่ผ่านมาเครือข่ายประชาชนได้เรียกร้องต่อรัฐบาลใช้อำนาจที่มีอยู่ประกาศเขตภัยพิบัติหรือเขตควบคุมมลพิษ แต่ปรากฏว่านายเศรษฐาไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากมาปั่นจักรยานและมาพบกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็หายไปเลย ในเมื่อรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ประชาชนจึงต้องออกมาประกาศเขตมลพิษด้วยตัวเองเพื่อสะท้อนให้เห็นว่านี่คือเสียงและความเดือดร้อนของประชาชน

ส่วนความกังวลเรื่องผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่นายเศรษฐาได้ระบุก่อนหน้านี้ มองว่า ตอนนี้ถึงไม่ประกาศเขตภัยพิบัติ นักท่องเที่ยวก็ทราบถึงสถานการณ์ดีอยู่แล้ว แต่รัฐบาลก็ควรประกาศและแสดงเจตนาที่ดีในการแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวป้องกันตัว เพราะเราคงไม่ปรารถนาที่จะให้นักท่องเที่ยวกลับประเทศไปแล้วป่วยจากฝุ่น มองว่ามีทางออกมากกว่าการที่จะออกมาห่วงธุรกิจเพียงมิติเดียว

ส่วนที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลชื่นชมแนวทาง “เชียงใหม่โมเดล” พร้อมกับยกให้เป็นต้นแบบของประเทศ อาจารย์สมชาย บอกว่า วันนี้เชียงใหม่โมเดลเละไม่เป็นท่า ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงต้นของฤดูฝุ่น สถานการณ์ยังไม่รุนแรงมา แต่ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเชียงใหม่โมเดลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วันนี้นายเศรษฐาน่าจะออกมาพูดถึงเชียงใหม่โมเดลอีกครั้ง และ อยากฝากนายเศรษฐากลับมาขี่จักรยานที่เชียวใหม่อีกรอบและพาครอบครัวและคนที่คุณรักมาด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น