ร้อยเรื่องเมืองล้านนา ตอนที่ 11 เครื่องจักสาน 2 : ฝาลายอำบ้านร้อยจันทร์
“…เมื่อก่อนมี 50 – 60 หลังเลยที่ทำ ตอนนี้วางมือกันหมดแล้ว เหลือแค่นี้แหละ
บ้านเราไม่มีคนสอน ก็คงจะหมด คงไม่มีใครทำต่อ
เด็กที่เกิดมารุ่นใหม่ ต่อจากนี้ไปก็จะไม่เห็นแล้ว… ”
— พ่อมา นามธุวงค์ –
เมืองล้านนา คือ ดินแดนแห่งวัฒนธรรม มีขนบธรรมเนียม ประเพณีที่งดงาม มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ ที่หาดู หาชมได้แค่เพียงที่ดินแดนแห่งนี้เท่านั้น รวมไปถึงด้านสถาปัตยกรรมล้านนา เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญา ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวล้านนาในอดีต ที่มีวิธีการสร้างที่เป็นแบบเฉพาะ มีการใช้วัตถุดิบที่สอดคล้องกับความเป็นอยู่ของบ้านเมือง หนึ่งในวัตถุดิบที่นิยมใช้ในการสร้างบ้านเรือนในอดีตของชาวล้านนานั้น คือ ไม้ไผ่ ที่นำมาสานเป็นฝาในรูปแบบต่าง ๆ อย่างฝาลายอำ ฝาลายสอง และฝาลายสาม ในอดีตเป็นที่นิยม แต่ในปัจจุบันกำลังจะสูญหายไปตามกาลเวลา และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ชุมชนบ้านร้อยจันทร์ ต.หนองควาย อ.หางดง จ. เชียงใหม่ เป็นเส้นทางวัฒนธรรมหนึ่งเดียว ที่ยังคงสืบสานภูมิปัญญาการสานฝาลายต่าง ๆ นี้ไว้อยู่ จากผู้ร่วมสืบสานเป็นหลายสิบหลังคาเรือน แต่ในปัจจุบันเส้นทางวัฒนธรรมแห่งนี้ เหลือผู้สืบทอดอยู่เพียงหลังเดียว องค์ความรู้ดั้งเดิมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น หากในวันนี้ยังไร้ผู้สืบทอด เส้นทางบ้านร้อยจันทร์แห่งนี้ คงปิดตำนานภูมิปัญญาการจักสานฝาลายอำ สถาปัตยกรรมล้านนาแบบดั้งเดิมไปตลอดกาล
สถาปัตยกรรมล้านนาในอดีต ภูมิปัญญาแห่งเมืองล้านนา
ในยุคสมัยที่ไร้ซึ่งเทคโนโลยี ชาวบ้านใช้ค้อนแค่เพียงอย่างเดียวในการสร้างเรือนบ้านอยู่อาศัย ใช้ความคิด ใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ และใช้กำลังแรงมือของตน ในการสร้างสิ่งหนึ่งขึ้น จนในวันนี้สิ่งนั้นได้กลายเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาล้ำค่าของชาวล้านนา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์กวิน ว่องวิกย์การ อาจารย์ และหัวหน้าศูนย์ออกแบบ และให้คำปรึกษางานสถาปัตยกรรม (ADC) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้บอกเล่าเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมล้านนาในอดีตว่า “…สมัยก่อนเราอยู่ในสังคมเกษตรกรรม เป็นเกษตรกรทำนา ทำไร่ ทำสวน คิดว่าเขามีความเป็นช่างอยู่ และก็ถ้าว่างจากการทำนามีการจักสานทำงานฝีมือ และก็รวมทั้งปลูกเรือนด้วย มีค้อนอันเดียวก็สามารถสร้างเรือนได้แล้ว โดยมีวัสดุหลักก็คือไม้ คุณค่าของไม้ คือ ราคาไม่เคยตก เพราะฉะนั้นเรือนไม้ของเขากลายเป็นมรดก เขาอยู่กับไม้ไผ่เป็นหลัก ฝาบ้าน และพื้น เขาเอาไม้ไผ่คลี่ออกแล้วสับเป็นฝ้า คลี่ออกแล้วปูเป็นพื้น หรือ คลี่ออกแล้วปูเป็นผนัง เอาไม้ไผ่มาฝานบาง ๆ เหมือนตอกแล้วค่อย ๆ สานก็เป็นลายต่างๆ ก็มีลายสองลาย สามลาย อำอะไรพวกนี้ ลายพวกนี้ คือ เอามาทำฝา ฝาแบบนี้จะไม่เห็นในการทำบ้านที่อยู่อาศัยจริง ณ ปัจจุบัน…”
เรือนไทยของภาคเหนือในอดีตนั้นจะเป็นเรือนยกใต้ถุนสูง จะแตกต่างจากภาคอื่น ๆ ด้วยสภาพอากาศ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมที่ต่างกัน ทำให้ลักษณะเฉพาะทางรูปทรงหลังคา และสัดส่วนของเรือนเตี้ยคลุ่มมากกว่า จะมีการเจาะช่องหน้าต่างแคบ ๆ เล็ก ๆ สำหรับกันลมหนาว เพราะภาคเหนือจะมีอากาศหนาวที่หนาวกว่าที่อื่น ๆ เรือนทุกรูปแบบจะมีความกลมกลืนกับธรรมชาติ และมีคุณค่าทางศิลปะด้านสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก
เรือนล้านนารูปแบบต่าง ๆ จะสร้างขึ้นตามลักษณะการใช้พื้นที่ภายในเรือน และฐานะของเจ้าของเรือน ซึ่งเรือนในยุคแรก ๆ ของล้านนามักสร้างมาจากไม้ไผ่ ยุคหลังจากนั้นถึงจะค่อยพัฒนาการสร้างเรือน จากไม้ไผ่ เปลี่ยนมาใช้ไม้จริง แล้วนำรูปแบบของเรือนตะวันตกมาผสมผสาน
สถาปัตยกรรมการสร้างเรือนโบราณของคนล้านนา มีหลากหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “เรือนชั่วคราว หรือเรือนเครื่องผูก” สำหรับการใช้เป็นสิ่งปลูกสร้างชั่วคราว ก่อนที่จะสร้างเรือนถาวรขึ้นภายหลัง ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “ตูบ” หมายถึง เรือนที่สร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่เป็นส่วนใหญ่ ใช้เสาไม้ไผ่ พื้นทำด้วยไม้สาน หรือฟากสับ ฝาผนังทำด้วยไม้ไผ่ หรือแผงไม้ซางสานเป็นลายต่าง ๆ เช่น ลายอำ โครงหลังคาก็ทำด้วยไม้ไผ่เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าวัตถุดิบอย่างไม้ไผ่เป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับชาวล้านนาในอดีต
“เรือนถาวร หรือเรือนไม้จริง” เป็นเรือนที่พัฒนาขึ้นมาจากเรือนแบบชั่วคราว โดยยกใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่ว ด้านหน้ามีกันสาด โครงสร้างหลังคามีทั้งไม้จริง มุงด้วยกระเบื้องดินเผา และโครงไม้ไผ่ ฝาผนังยังคงใช้การสานจากไม้ไผ่อยู่ ใช้ไม้สานเป็นแบบลำแพน ลายอำ ลายตาล ไม้ไผ่ขัดแตะ ไม้ซางทุบเรียบ หรือใช้ไม้จริงตีนอน ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น และมีราคาถูก
“เรือนกาแล” ที่เจ้าพญา และคหบดีนิยมสร้างนั้น มีรูปแบบเป็นเรือนจั่วแฝดขนาดใหญ่ โดยเพิ่มกาแลติดไว้บนยอดจั่วหลังคา เชื่อว่า รูปแบบของเรือนกาแลนี้มีพัฒนาการมาจากเรือนของกลุ่มชาวลัวะที่ใช้ไม้ไผ่วางไขว้กัน ลักษณะของเรือนกาแล ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของล้านนา เนื่องจากเป็นเรือนที่นิยมสร้างกันมากในกลุ่มคนล้านนา “เรือนร้านค้า” เริ่มมีการปรับเปลี่ยน รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตก “เรือนแบบตะวันตก” เรือนที่ได้รับรูปแบบโครงสร้าง และการตกแต่งมาจากประเทศในแถบตะวันตก “เรือนขนมปังขิง” และเรือนในรูปแบบต่าง ๆ อีกมากมาย
งานหัตถกรรมพื้นบ้าน จักสานฝาลายอำ
สถาปัตยกรรมล้านนาในอดีต จะเห็นได้ว่า ฝาลายอำ ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างบ้านของคนล้านนา ฝาลายอำ คือ ฝาเรือนที่สานด้วยไม้ไผ่ โดยใช้ส่วนผิวไม้ไผ่เหียะ หรือไม้ไผ่เฮียะมาสาน จะมีเทคนิคการสานเฉพาะ คือ ผ่าเป็นซี่ ๆ แบะให้แบนแล้วนำมาขัดไขว้กันเป็นแผ่นใหญ่ แล้วจะมีช่องว่างระหว่างไม้ไผ่ที่ขัดกัน ช่วยให้ระบายอากาศได้ดี อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่เบา จึงนิยมใช้ทำเป็นฝาเรือนในอดีต
งานจักสานฝาลายอำนั้น ไม่ได้เป็นงานที่ยาก หรือมีขั้นตอนที่ซับซ้อน แต่เป็นงานที่ต้องใช้สมาธิ และความอดทน ใช้เวลาที่ค่อนข้างนานในการจักสาน กว่าจะได้ออกมาเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์ จึงทำให้ในปัจจุบัน ไม่ค่อยมีเด็กรุ่นใหม่เข้ามาสนใจ หรือศึกษาในวิธีการทำภูมิปัญญาเหล่านี้ เหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่ที่ยังคงทำอยู่
โดยขั้นตอนการทำฝาลายนั้น จะเริ่มจากการนำไม้ไผ่เฮียะ มาเลาะเอาตาไม้ออกให้หมด ผ่าครึ่งแล้วสับให้แตก จากนั้นแยกส่วนผิวกับเนื้อออกจากกัน นำไปตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ จะต้องจัดให้ซี่ที่ผ่าออกมาแต่ละซี่มีขนาดที่เท่ากัน และต้องผ่าจากโคนของไม้ไผ่ ขั้นตอนการผ่าตอกมีขนาดตอกที่เท่ากัน เมื่อนำมาสานเป็นฝาจะได้ผลงานที่ดี มีคุณภาพ นำไม้ไผ่ที่ได้มาเหลาให้เรียบร้อย และนำไปสานจนออกมาเป็นฝาลายต่าง ๆ ตามทักษะของสล่า ที่จะทำตามแบบแผนดั้งเดิม หรือสร้างสรรค์ นำแบบแผนมาดัดแปลง เพื่อให้เกิดลายใหม่ ๆ ตามที่ต้องการ
ปัจจุบันมีการดัดแปลงนำมาใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ฝาลายอำแบบเดิมกลับไม่ได้รับความนิยมในการสร้างผนังเรือน เนื่องจากความเชื่อในเรื่องของความหมาย ของคำว่า “อำ” ที่มีความหมายว่า กั้น ทำให้กีดกั้น การทำมาหากิน และกั้นสิ่งมงคลเข้าตัว อีกทั้งไม่เหมาะกับการใช้งานในระยะยาว จึงไม่นิยมสานฝาลายอำอีกต่อไป
“…เอาไปขายที่เขาทำรีสอร์ท เอาที่เราทำไปใช้นี่มีความอดทน 10 ปี ก็ยังอยู่ได้ เราไม่ได้ขายลายอำแล้ว มันไม่มีคนซื้อ ตอนนี้ส่วนมากจะเป็นลายสอง ลายอำหายไปละ เด็กรุ่นใหม่ เขาไม่ทำกันแล้ว มีแค่นี้แหละ เด็กหนุ่มเขาไม่มาทำกันหรอก มันสานยาก คนที่นี่ไม่มีใครสาน บ้านอื่นเขาไม่ทำ เขาว่ารายได้มันน้อย ก็เคยทำแล้วไม่พอกิน…” — พ่อมา นามธุวงค์ –
มรดกล้านนาอันล้ำค่า ที่ใกล้จะสูญหาย การสานฝาที่ไร้ผู้สืบทอด
ถึงแม้ในทุกวันนี้รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนไป การสานฝาลายอำไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของการสร้างบ้านเรือนของคนในยุคปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว แต่หากการสานฝาไม่ได้รับการสานต่อ ลูกหลานชาวล้านนาก็คงจะไม่ได้เห็นภูมิปัญญาด้านการจักสานฝาลายต่าง ๆ แบบนี้อีกต่อไป เฉกเช่นเดียวกับฝาลายอำที่เราไม่มีวันได้เห็นอีกแล้ว ความสมัยใหม่ที่ต้องนำมาปรับร่วม แต่ก็ต้องไม่ละทิ้งความดั้งเดิมที่อยู่คู่ล้านนาเรามาอย่างยาวนาน
“…ณ ตอนนี้มันถูกพัฒนา ก็จะมีโรงงานทำฝาไม้ไผ่อัด เอาไม้ไผ่มาอัดเป็นแผ่นแบบไม้อัดเอามาปูเป็นพื้นได้คงทนถาวร อันนี้ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง คนที่ผลิตต้องพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ แต่อยู่บนคุณค่าของวัสดุเดิม และต่อยอดมัน…” — ผู้ช่วยศาสตราจารย์กวิน ว่องวิกย์การ —
พ่อมา เป็นสล่าจักสานแห่งบ้านร้อยจันทร์ หนึ่งเดียวที่ยังคงอนุรักษ์ภูมิปัญญานี้ไว้ สำหรับใครสนใจที่จะเรียนรู้วิธีการจักสานฝาลายอำ ไม่ว่าจะด้วยต้องการสืบสานความดั้งเดิมนี้ให้คงอยู่ หรืออยากนำไปประยุกต์ให้เป็นความร่วมสมัยมากขึ้น ก็สามารถเข้าไปเรียนรู้วิธีการทำได้จากพ่อมา ที่บ้านร้อยจันทร์ ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ หรือใครอยากจะเห็น อยากจะสัมผัสกับสถาปัตยกรรม การสร้างบ้านเรือนในอดีตของชาวล้านนา ในรูปแบบต่าง ๆ ก็สามารถเข้าไปได้ที่พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนามช.
“…จุดประสงค์ของการเก็บรวบรวม เราต้องการที่จะเก็บบ้านให้เป็นตัวอย่าง และก็เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้สำหรับเยาวชน ผู้สนใจทั่วไป พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนาเป็นแหล่งรวบรวมเรือนที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ในภาคเหนือ ก็จะมีเรือนในทุกยุคทุกสมัย เรือนที่เราเก็บมีแบบหลังเดียวในโลก การเก็บไว้ไม่ได้หมายความว่าแค่เก็บ แต่จะต้องบำรุงต้องดูแลรักษาให้มีอายุนานมากที่สุด…” คุณฐาปนีย์ เครือระยา นักจัดการงานทั่วไป ฝ่ายส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม และสร้างสรรค์ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม และล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ถึงแม้ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีจะก้าวกระโดด พัฒนาไปไกลเป็นอย่างมาก และวิถีชีวิตของผู้คนก็ได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามการพัฒนา สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้สถาปัตยกรรมการสร้างบ้านของคนล้านนาก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย มีการออกแบบ มีการใช้วัตถุดิบที่ตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น สิ่งใหม่ ๆ ล้วนมีความแข็งแรง ทนทาน และมีการเลือกใช้เทคโนโลยี มากกว่ากำลังจากมือของคน ถึงแม้หลาย ๆ อย่างจะเปลี่ยนไป แต่คำว่า ภูมิปัญญา นั้นมีค่า ถ้าเราไม่รักษาตอนนี้ ต่อไปในอนาคตก็จะไม่มีให้ลูกหลานได้เห็น ได้เรียนรู้ เราต่างอยู่กับปัจจุบัน คิดถึงอนาคต แต่เราอย่าหลงลืมรากเหง้าในอดีต ว่าเราเป็นมาอย่างไร ร่วมส่งต่อภูมิปัญญาอันล้ำค่านี้ ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น สานต่อให้ความภาคภูมิใจนี้ยังคงอยู่ อย่าให้เส้นทางวัฒนธรรมจักสานบ้านร้อยจันทร์นั้นเหลือไว้แค่ชื่อให้คนรุ่นหลัง
ไม่มีแล้ว ร้านค้าแถวนี้ก็ไม่มีขายแล้ว ก็คงจะหมดละ ไม่มีใครต่อ
อยู่ไปเรื่อย ๆ เอาจนไม่มีแรงมาทำ ก็เลิกไป ถ้ามีแรงอยู่ ก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ
— พ่อมา นามธุวงค์ –
ร่วมแสดงความคิดเห็น