เช็ก!! “เศรษฐา” เคาะเงื่อนไขเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

สวัสดีครับ วันนี้ (10 พ.ย.66) ผมขอบอกข่าวดีกับพี่น้องประชาชน “โครงการ Digital Wallet ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่กำลังเป็นความจริงครับ” รัฐบาลได้หาข้อสรุปที่ดีที่สุดในการกระตุ้นและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ผ่านการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งจะอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคน และอีก 1 แสนล้านบาทในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ และทุกอย่างที่ผมแถลงในวันนี้ จะยังต้องผ่านกระบวนการตามกฏหมาย และต้องมีมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะสรุปเป็น Final อีกครั้งนึง

ตัวเลขที่ท่านได้ยินไปเมื่อครู่นี้ เกิดจากการที่รัฐบาลรับฟังความเห็นจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ และหน่วยงานอื่นๆ ทำงานร่วมกัน และปรับเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ตให้รัดกุมขึ้น โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาท ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาทต่อเดือน และมีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท เพื่อความชัดเจน ประโยคนี้แปลว่า ถ้ารายได้เกิน 7 หมื่นบาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 5 แสนบาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ หรือ ถ้ารายได้น้อยกว่า 7 หมื่นบาท แต่มีเงินฝากมากกว่า 5 แสนบาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิเช่นกัน โดยให้สิทธิใช้ครั้งแรกในเวลา 6 เดือนหลังจากโครงการเริ่ม และขยายพื้นที่การใช้จ่ายให้ครอบคลุมระดับอำเภอ ตามที่ได้รับฟังความเห็นมา พร้อมๆกันนั้น เราจะใช้เงินในการเพิ่มขีดความสามารถ ภายใต้งบ 1 แสนล้านบาท และส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาบุคคลากรทางการศึกษา เป็นต้น ซึ่งกองทุนนี้จะใช้ในการดึงดูดผู้มีความสามารถให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องต่อไป ผมยังยืนยันความตั้งใจที่จะให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เพราะฉะนั้น รัฐบาลจะออกโครงการ e-Refund ให้คนไทยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยให้ใบกำกับภาษี มาประกอบการยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีให้ท่าน เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้รับสิทธิ Digital Wallet ก็สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นด้วย

โดยสรุป นโยบายทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อประเทศใน 2 ด้าน
หนึ่ง กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้นโดยมี “ประชาชนทุกภาคส่วนเป็นกลไกที่สำคัญผ่านการบริโภคและการลงทุน”
สอง วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ E-Government ซึ่งเป็นการวางและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศในระยะยาว

ย้ำอีกครั้งนะครับ นี่ไม่ใช่การสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านสิทธิการใช้จ่าย เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาล (Partnership) ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ยังรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐทุกประการ ผมขอให้ประชาชนทุกคนที่ได้รับสิทธิร่วมกันใช้จ่ายด้วยความภาคภูมิใจ โดยทุกคนล้วนเป็นผู้ร่วมสร้างการเจริญเติบโตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศของเรา

ที่ผมกล่าวไปเมื่อกี้ทั้งหมดคือเนื้อหาสรุป และหวังว่าทุกท่านจะได้เข้าใจภาพรวมเบื้องต้น ผมจะใช้เวลาต่อจากนี้ในการขยายความเพิ่มเติมส่วนของเนื้อหา เหตุผล หลักการณ์ และตอบคำถามที่ทุกท่านและสังคมอาจมีข้อสงสั ผมขอให้ตั้งใจฟัง ดู Presentation ประกอบ ไม่ต้องจด เดี๋ยวจะมี Press kit แจกให้หลังจากที่ผมพูดจบ

ที่มาที่ไปของโครงการนี้ เกิดจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการเจริญเติบโตเพียง 1.9% โดยเฉลี่ย 1.9% เป็นตัวเลขการเติบโตที่น้อยมากๆ และเราโตน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอดแทบจะทุกปี ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในแล้วในสังคม ก็ส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวจากช่วงวิกฤตโควิดแบบ K-shaped recovery หมายความว่า คนจนที่ลำบากอยู่แล้ว ได้รับความลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่คนที่มีฐานะ จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ คนรวย 20% บนสุดกับคนจน 20% ล่างสุด มีรายได้ต่างกัน 9 เท่า ยังไม่นับสถานะการณ์การเข้าสู่สังคมสูงวัย ที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสาธารณสุขเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบคนกลุ่มนี้อย่างชัดเจนลักษณะการฟื้นตัวแบบ K-shaped นี้ จะตอกย้ำให้ความเหลื่อมล้ำให้แย่ลงไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูง คิดเป็น 91% ของ GDP หนี้เหล่านี้ เป็นหนี้ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ได้นำไปใช้ลงทุนค้าขาย ส่วนมากเป็นหนี้เพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะแย่ลงไปอีก ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข ถ้าประชาชนไม่ได้มีรายได้ที่มากขึ้น

เมื่อพูดถึงรายได้ของประชาชน ก็ต้องพูดถึงนายจ้าง ภาคการผลิตด้วย จากข้อมูลสถิติระบุว่า อัตราการผลิตของประเทศลดลง และก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพที่ประเทศเราสามารถทำได้ พูดง่ายๆคือ โรงงานในประเทศไทยเดินเครื่องผลิตสินค้าไม่เต็มที่ เมื่อผลิตน้อย ก็ต้องการคนไปทำงานน้อย บางคนก็ตกงาน ทำให้มีรายได้น้อยลง ซื้อสินค้าน้อยลง วนกลับไปที่โรงงานก็ผลิตสินค้าน้อยลงไปอีก การลงทุนในภาคเอกชนก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามที่เห็นมาตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา เกิดเป็นวงจรถดถอยทางเศรษฐกิจ หากไม่ได้รับการกระตุ้นแก้ไข สภาวะสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยาวนานต่อเนื่อง ที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซ้ำเติมด้วยสถานการณ์การสู้รบในบริเวณอิสราเอลและฉนวนกาซ่า ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในจุดเปราะบาง นี่ไม่ใช่ปัญหาแต่ของประเทศไทยอย่างเดียว ที่กระทบการส่งออก แต่ตลาดทั่วโลกเอง ก็ได้รับผลกระทบจากสถาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและตกต่ำเกินเยียวยา เศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้ เม็ดเงินในระบบเหือดหายอยู่แล้ว ซ้ำเติมด้วยเศรษฐกิจใต้ดินที่เติบโตอย่างน่ากลัว จนทำให้เงินยิ่งหายไปจากระบบจำนวนมากและตามเก็บภาษีไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราไม่เติมเงินใหม่เข้าไป จะไม่มีเงินหมุนเวียนเพียงพอ ประชาชนก็ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย กำลังซื้อก็ถดถอย การบริโภคในประเทศจะตกต่ำลงไปอีก แต่เมื่อเราเติมเงินในกระเป๋าของประชาชน ให้ประชาชนช่วยกันมาใช้เงิน ซื้ออาหารมากินก็ได้ ซื้อสินค้ามาลงทุนก็ดี เงินยิ่งหมุนไปหลายรอบ การค้าขายยิ่งคึกคัก ธุรกิจขนาดเล็กจะค่อยๆเติบโต หนี้สินจะค่อยๆ หมดไป

หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง เราก็ประสบความสำเร็จมาแล้วจากการส่งเสริมการจับจ่ายใช้สอยในประเทศด้วยการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน โดยทำควบคู่ไปกับการส่งออกและการท่องเที่ยว เราจึงฟื้นฟูเศรษฐกิจได้รวดเร็ว ทุกคนยิ้มแย้มสดใส มีรายได้ ความเหลื่อมล้ำก็ลดลง นโยบายการอัดฉีดเงิน ไม่ได้เป็นนโยบายที่แปลกประหลาด ตัวอย่างอื่นในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น หรือเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ก็มีนโยบายที่คล้ายๆกัน ยกตัวอย่างของญี่ปุ่น เขาก็อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเป็นจำนวน 13.2 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท เลข 3 แล้วตามด้วยเลขศูนย์ 12 ตัวนะครับ แม้ว่าจะปรับตามค่าครองชีพและจำนวนประชากรแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นก้อนเงินที่ใหญ่กว่าที่เราเคยพูดคุยกันมา ทุกท่านจะเห็นว่ารัฐบาลต่างๆ ก็มีมาตรการหลายรูปแบบ โดยล้วนมีจุดประสงค์ที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาเจริญเติบโตต่อไปได้

รัฐบาลไทยเองก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการดำเนินโครงการ Digital Wallet 10,000 บาทที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้ นโยบายนี้ คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้เข้าถึงทุกพื้นที่ ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เงินทั้งหมดในโครงการนี้ จะถูกส่งตรงไปให้กับประชาชนทุกคนที่ผ่านเงื่อนไขเข้าไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล ขอบเขตการใช้งาน จะใช้ได้กับร้านค้าที่อยู่ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชนของท่าน ย้ำนะครับ “อำเภอ” ซึ่งปรับขยายมาตามความเห็นของทุกภาคส่วน และต้องจ่ายเงินกันแบบ Face-to-face เรื่องของระยะเวลา 6 เดือนสำหรับการใช้ “ครั้งแรก” ก็ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้เงินมีการหมุนเวียน และหากไม่ได้ใช้ สิทธิที่เหลืออยู่ก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ และเงินที่ถูกใช้และเข้าไปอยู่ในระบบแล้ว จะสามารถใช้จับจ่ายต่อได้จนถึงเดือนเมษาปี 2570 เงินก้อนนี้ไม่ได้มาจากการเสกเงิน สร้างเงิน พิมพ์เงิน หรือออกเหรียญผ่าน Initial Coin Offering แต่อย่างใด. พูดให้ชัดๆว่า ไม่ได้มีการเขียนโปรแกรมสร้างเงินเหมือน Cryptocurrency ต่างๆ และไม่ได้เป็นการนำเงินไปซื้อเหรียญมาแจก. และนำไปเทรด แลกเปลี่ยน โอนให้กันและกัน เก็งกำไร ไม่ได้.

ย้ำนะครับ ไม่มีการนำไปเทรดบน Exchange ทั้งหลาย ตลาดหลักทรัพย์ ตลาด crypto ใดๆทั้งสิ้น. เงินตัวนี้จะมีที่มาจากเงินบาท และมีมูลค่าเป็นเงินบาท ที่มีเงื่อนไขในการใช้งาน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูงกว่าอัดฉีดที่ผ่านมา. เพราะฉะนั้น เงิน 1 บาทในโครงการนี่้ ก็คือ 1 บาทในกระเป๋าเงินของทุกท่าน ที่สามารถใช้จ่ายได้. โครงการนี้ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ ทั้งร้านค้า และยืนยันรับสิทธิโดยประชาชน

เรื่องของเงื่อนไข ซื้ออะไรได้ ไม่ได้ ผมขอพูดตรงนี้ให้ชัด
ประชาชนจะสามารถจะใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น
ไม่สามารถใช้กับบริการได้
ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้
ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม
ไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้
ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้
ไม่สามารถจ่ายค่าเรียน ค่าเทอม ได้
ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้
แลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้

เรื่องประเภทร้านค้า
ขอชี้แจงให้ชัดว่าใช้ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่ได้จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี
ไม่จำเป็นต้องจด VAT
ร้านค้ารถเข็น ร้านโชว์ห่วย ร้านค้าที่อยู่บนแอพเป๋าตัง ใช้ได้หมด แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น

การจับจ่ายใช้สอยจะต้องเริ่มที่ชุมชนระดับอำเภอก่อนเสมอ ซึ่งเป็นการรดน้ำทั่วประเทศให้เขียวไปพร้อมๆกัน ทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจนี้. เงินตัวนี้จะเป็นเงินที่ให้ประชาชนช่วยกันกอบกู้เศรษฐกิจ ซึ่งจะนำมาสู่การลงทุนในภาคประชาชน ทั้งการรวมเงินในครัวเรือนเพื่อประกอบอาชีพ การซื้อ-ขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงการสั่งผลิตสินค้าในโรงงาน SME ไปจนถึงโรงงานขนาดใหญ่

หลายท่านอาจจะกังวลว่านโยบายนี้จะทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อเราย่ำแย่หรือไม่ ต้องขอชี้แจงว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันของไทย อยู่ในสภาวะที่ต่ำอยู่แล้ว ทำให้โครงการนี้จะไม่ส่งทำให้อัตราเงินเฟ้อก่อให้เกิดผลเสียต่อพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน การดำเนินโครงการจะมีแผนบริหารจัดการโครงการที่ดี จึงประมาณการรายจ่ายแหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการทั้งหมดตามที่กล่าวมาข้างต้น รัฐบาลจึงปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ ตามข้อเสนอแนะของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทุกท่านครับ นับจากตอนหาเสียง จนวันที่จัดตั้งรัฐบาล ผมกล่าวไว้ว่าเราจะให้ประชาชนทุกคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไปอย่างเท่าเทียมกัน รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 54.8 ล้านคน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ประชาชนเป็นหัวใจหลัก เป็นกลไกที่สำคัญการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับเงื่อนไขต่างๆ โดยเป็นข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของประชาชน นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ฯ และอีกหลายหน่วยงาน ที่รัฐบาลนำมาปรับปรุงเป็นเงื่อนไขใหม่ โดยให้สิทธิกับเฉพาะผู้ที่มีเงินเดือนไม่ถึง 70,000 บาท และ มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท แปลว่า ถ้าเงินเดือนคุณเกิน 70,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ ถึงแม้ว่าเงินฝากคุณจะมีไม่ถึง 500,000 ก็ตาม และในขณะเดียวกัน ถ้าเงินฝากคุณเกิน 500,000 แต่เงินเดือนไม่ถึง 70,000 ก็จะไม่ได้รับสิทธินี้เช่นกัน

เงินในส่วนที่เหลือของโครงการ รัฐบาลจะนำมาใส่ในกองทุนเพื่อลงทุนพัฒนาประเทศ เช่น กองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ซึ่งบริหารและดูแลโดย คณะกรรมการฯ ที่มี BOI เป็นผู้จัดการ เป็นต้น ท่านอาจจะมีคำ

ร่วมแสดงความคิดเห็น