รวบกลุ่มจีนเทาเชียงใหม่-นอมินี กว้านซื้อที่สร้างหมู่บ้านขายคนจีน

จากกรณีสำนักข่าวและสื่อสังคมออนไลน์ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มทุนจีน กว้านซื้อที่ดินสร้างหมู่บ้านจัดสรรใน จ.เชียงใหม่ เป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับการพักอาศัยของกลุ่มคนจีน ซึ่งเดิม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน บก.ตม.5 ตำรวจ ภ.จ.เชียงใหม่ เข้าบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จ.เชียงใหม่ ที่ดิน จ.เชียงใหม่ และ พาณิชย์ จ.เชียงใหม่ เข้าตรวจสอบและดำเนินคดีกับโครงการหมู่บ้านจัดสร ตั้งอยู่ที่ ต.สันกลาง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ในลักษณะให้คนไทยเป็นนอมินี ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (สัญชาติจีน) โดยในทางคดีพนักงานสอบสวน สภ.สันกำแพง และ พนักงานอัยการ จ.เชียงใหม่ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวแล้วนั้น จำนวน 8 ราย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จ.เชียงใหม่ ต่อมา มีคำสั่งจากผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ แจ้งให้บริษัท xxx จำกัด จัดการจำหน่ายที่ดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน จำนวน 149 แปลง เนื้อที่ 44 ไร่ 84 ตารางวา ภายใน 180 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง นั้น

ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการต่อเนื่องให้ตรวจสอบโครงการหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งมีลักษณะและพฤติการณ์คล้ายกัน โดยฝ่ายสืบสวน บก.ตม.5 และ ภ.จ.เชียงใหม่ ได้ร่วมกันตรวจสอบหมู่บ้านในโครงการ “xxxเชียงใหม่” ตั้งอยู่ ต.บ้านแหวน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ แบ่งออกเป็นที่ดินจำนวน 43 แปลง เนื้อที่รวม 22 ไร่ 1 งาน 1.7 ตารางว่า โดยพบว่า โครงการหมู่บ้านดังกล่าว มีบริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เชียงใหม่ xxx จำกัด และ บริษัท xxx จำกัด ซึ่งมีพฤติการณ์จัดตั้งบริษัทมาเพื่อกระทำนิติกรรมอำพรางในการถือครองที่ดิน โดยมีการจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินทั้งแบบระยะยาวและแบบตลอดชีพให้กับคนจีน เพื่อสามารถอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว ได้เสมือนเป็นเจ้าของที่ดินและบริหารกิจการโดยกลุ่มคนจีนที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันเอง ส่วนบริษัทเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทั้ง 2 บริษัท มีการใช้ชื่อคนไทยเป็นกรรมการบริษัท แต่ไม่มีอำนาจในการบริหารกิจการและการเงินของบริษัท โดยมีการจดทะเบียนบริษัท ชื่อ บริษัท xxx จำกัด เพื่อใช้ในการถือหุ้นแทนคนจีนที่บริหาร บริษัท xxx จำกัด และ บริษัท xxx จำกัด อยู่

ซึ่งฝ่ายสืบสวน บก.ตม.5 และ ภ.จ.เชียงใหม่ ได้รวบรวมพยานหลักฐานและเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.หางดง เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 13 ราย แบ่งเป็น

-นิติบุคคล จำนวน 3 บริษัท บริษัทลำดับ 1 กล่าวหาว่า เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ซึ่งรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น หรือ มิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น และให้ความช่วยเหลือ หรือ สนับสนุน ให้คนต่างด้าว ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ฯ บริษัทลำดับ 2, 3 กล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าว ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต

-กลุ่มบุคคลต่างด้าว สัญชาติจีน จำนวน 4 ราย ลำดับ 1 กล่าวหาว่า เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจ ในการกระทำความผิดนั้น หรือ มิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น และยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยให้ความช่วยเหลือ หรือ สนับสนุน หรือ ร่วมประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์แก่คนต่างด้าวฯ

ลำดับ 2-4 กล่าวหาว่า เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ซึ่งรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น หรือ มิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น

-กลุ่มคนไทย จำนวน 6 ราย ลำดับ 1-3 กล่าวหาว่า เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น หรือ มิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น และให้ความช่วยเหลือ หรือ สนับสนุน ให้คนต่างด้าว ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ฯ

ลำดับ 4-6 กล่าวหาว่า เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ซึ่งรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น หรือ มิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น

การกระทำของกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวข้างต้น เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ศาล จ.เชียงใหม่ ได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา ซึ่งเป็นชาวต่างชาติไปแล้ว จำนวน 4 ราย ได้มีการแจ้งข้อหาผู้ต้องหาคนไทยไปแล้ว จำนวน 6 ราย ในส่วนของผู้ต้องหาที่เป็นนิติบุคคล พนักงานสอบสวน สภ.หางดง ได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา เพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ในการดำเนินการตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนอย่างต่อเนื่อง พบว่าทั้งโครงการหมู่บ้านฟ้าหลวง และ โครงการหมู่บ้านรักเชียงใหม่ มีพฤติการณ์ให้คนไทยเป็นนอมินี ในการประกอบกิจการแทนคนต่างด้าว โดยจะมีการตรวจสอบทรัพย์สิน เส้นทางการเงินและจัดการจำหน่ายที่ดินเพื่อให้กลับมาเป็นของคนไทย และหากพบว่าทรัพย์สินที่ได้มานั้น เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งจะมีความผิดฐานฟอกเงิน จะได้ดำเนินการยึดทรัพย์ดังกล่าวต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น