โรคลมชัก ภัยใกล้ตัวที่ควรรู้

🩺โรคลมชัก ภัยใกล้ตัวที่ควรรู้
จากข้อมูลรายงานผู้ป่วยโรคลมชักที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีจำนวนสูงมากกว่า 1,000 ราย กระจายอยู่ในทุกกลุ่มอายุ ทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักนั้น จะมีอาการชักอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกันมากกว่า 24 ชั่วโมง โดยอาการชักของโรคลมชักเกิดจากกระแสไฟฟ้าในร่างกายผิดปกติ เนื่องจากส่วนต่างๆในสมองมีหน้าที่ต่างกัน ดังนั้นหากมีไฟฟ้าผิดปกติส่วนใดก็มักจะมีอาการชักตรงส่วนนั้น

🔹อาการของโรคลมชัก
บางครั้งสังเกตง่าย เตะตา  เช่น เกร็ง กระตุก อาจจะมีอาการครึ่งซีกหรือทั้งร่างกาย ระหว่างที่เกร็งมีอาการกระพริบตาถี่ น้ำลายไหล หรืออุจจาระ ปัสสาวะราด แต่บางครั้งอาการชักสังเกตยาก กล่าวคือต้องเกิดขึ้นหลายครั้งถึงจะสังเกตเห็น เช่น เหม่อลอย ตาแข็ง เรียกไม่รู้ตัว เคี้ยวปาก กำมือ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเองและหายได้เอง ระยะเวลาไม่เกิน 5 นาที ทุกครั้งจะมีลักษณะคล้ายๆกัน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการชักเกิดขึ้นครั้งแรก คนในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดควรพิจารณาและพามาพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุของอาการชัก

🔹อาการชักที่ควรรู้
•ชักเฉพาะส่วนของร่างกาย

  • เกร็ง กระตุกเฉพาะส่วน  
  • เหม่อเคี้ยวปาก เรียกไม่ตอบ
  • การรับรู้ประสาทสัมผัสเช่น กลิ่น รส
  • ระบบอัตโนมัติ เช่น ขนลุก ใจสั่น
    •ชักทั้งตัว หมดสติ  
  • เกร็ง กระตุกทั้งตัว
  • ชักสะดุ้งที่แขนทั้งสองข้าง
    การมาพบแพทย์ควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วย หรืออาจจะมีคลิปวิดีโอขณะเกิดอาการชักมาประกอบ เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยโรคและแนวทางการรักษาได้

🔹สาเหตุของโรคลมชัก

  • โครงสร้างสมองผิดปกติอาจเกิดแต่กำเนิด หรือ เกิดขึ้นภายหลัง
  • ยีนส์/ พันธุกรรมผิดปกติ
  • ปัญหาทางเมตาโบลิก
  • การติดเชื้อในสมอง
  • โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • สาเหตุอื่นๆ

🔹การรักษาโรคลมชัก

  • การรักษาด้วยยากันชัก (ในเด็กควรรักษาด้วยยากันชักติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปี / ผู้ใหญ่ 4 ปี)
  • การรักษาด้วยการผ่าตัด จะเป็นวิธีการรักษาขั้นสุดท้าย หากได้รับการรักษาด้วยยาแล้วแต่ดื้อยา และพบว่าภาพถ่ายในสมองมีความผิดปกติ ถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาแบบผ่าตัด
  • การรักษาด้วยอาหาร ketogenic Diet
  • การฝังอุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้า
    จากการวิจัยทางการแพทย์ พบว่า การรักษาอาการลมชักของผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดโรคลมชัก โดยปกติในผู้ป่วยที่เป็นเด็กแพทย์จะให้ยาไปรับประทานเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งจะสามารถช่วยควบคุมอาการชักและการกลับมาเป็นซ้ำได้เป็นอย่างดี ส่วนในผู้ใหญ่ จะใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี นับจากการชักครั้งสุดท้าย ส่วนใหญ่ประสบผลสำเร็จในการรักษาประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อหายแล้วสามารถหยุดยาได้ แต่ในบางราย แพทย์อาจวินิจฉัยให้รับประทานยากันชักขนาดต่ำๆไปตลอด มากกว่าการหยุดยากันชัก

🔹การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก

  • รับประทานยากันชักอย่างสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ 
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ดื่มแอลกอฮอล์
  • การประกอบอาหาร ควรใช้เตาไฟฟ้าหรือไมโครเวฟ
  • อาบน้ำในห้องน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ

🔹การปฐมพยาบาลผู้ที่มีอาการชัก

  • ตั้งสติให้ดี ไม่ตื่นเต้น
  • ป้องกันการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ให้มีสิ่งของที่เป็นอันตรายอยู่ใกล้ผู้ป่วย
  • ไม่ควรนำสิ่งของเข้าปากคนไข้ ไม่กดแขน ขา ห้ามป้อนน้ำหรือยา และไม่จำเป็นต้องปั๊มหน้าอก
  • หากไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้ ควรให้นอนราบ และหาวัสดุนุ่มหนุนศีรษะ
  • หลังจากหยุดเกร็งให้จัดท่าคนไข้นอนตะแคง เพื่อลดการสำลัก
  • จับเวลาว่ามีอาการชักนานเท่าไหร่ หากมีอุปกรณ์ควรบันทึกวิดีโอขณะผู้ป่วยมีอาการ
  • คอยดูแลผู้ป่วยจนกว่าอาการชักจะหายและได้สติ หากสงสัยว่าบุตรหลานหรือคนในครอบครัวเป็นโรคลมชักหรือไม่ ควรพาไปตรวจเช็คได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและรักษา โรคลมชักถึงแม้จะเป็นภัยใกล้ตัว แต่รักษาหายได้ หากกินยาและปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ

ขอบคุณข้อมูลจาก
ผศ.พญ.กมรวรรณ กตัญญูวงศ์ หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. รศ.นพ.อธิวัฒน์ สุนทรพันธ์ อาจารย์ประจำหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์ มช.

ติดตามผ่านทาง Facebook : https://cmu.to/g6aoS

เรียบเรียง : นางสาวสมัชญา หน่อหล้า
ภาพ/ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร
งานประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ มช.

ร่วมแสดงความคิดเห็น