(มีคลิป)เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟร้องทุกข์ หลังโดนมิจฉาชีพหลอกซื้อขายเมล็ดกาแฟ

เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟร้องทุกข์ หลังโดนมิจฉาชีพหลอกซื้อขายเมล็ดกาแฟ เสียหายรวมนับ 10 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 66 มีเกษตรกรผู้รับซื้อขายเมล็ดกาแฟในพื้นที่ จ.เชียงราย นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องทุกข์กับตัวแทนพรรคก้าวไกลประจำ จ.เชียงราย ที่สำนักงานประสานงานพรรคก้าวไกล ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย หลังมีผู้ชักชวนให้ไปร่วมรับซื้อเมล็ดกาแฟ แต่หลังจากโอนเงินค่าสินค้าไปให้ คู่กรณีกลับไม่ส่งของให้ตามที่ตกลงไว้ มีผู้เสียหายซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ รวมไปถึงผู้ประกอบการรับซื้อเมล็ดกาแฟ ในหลายพื้นที่ใน จ.เชียงราย และต่างจังหวัด รวมแล้วหลายสิบคนหรืออาจจะมากถึงหลักร้อยคนทั่วประเทศ แต่คนชักชวนใช้วาทศิลป์ ทั้งโน้มน้าวและข่มขู่จนไม่มีใครกล้าไปแจ้งความ เพราะหวั่นจะไม่ได้เงินคืน ล่าสุดพบว่าบุคคลดังกล่าวยังได้ขยายขอบเขตไปหลอกเกษตรกรผู้ปลูกพืชผลชนิดอื่น เช่น ข้าวโพด ลำไย ฯลฯ มีผู้ตกเป็นเหยื่อไปแล้วหลายรายเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายพงษ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี ชาวบ้าน ต.แม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เล่าว่า ตนเป็นเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ และรับซื้อเมล็ดกาแฟไปส่งโรงงานคั่ว อยู่ที่ดอยช้าง อ.แม่สรวย ทำธุรกิจนี้มาได้ประมาณ 7-8 ปี จนต่อมาประมาณปลายปี 65 ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งติดต่อติดต่อเข้ามาหาตนทางเฟสบุ๊ก บอกว่า สจ.เชียงรายคนหนึ่งแนะนำมาอีกที ตนก็คิดว่ามีการแนะนำมาจาก สจ. ก็คิดว่าคงจะเป็นคนน่าเชื่อถือ โดยมีคนเรียกบุคคลดังกล่าวว่า “เจ๊ ส.” อายุ 42 ปี เป็นชาวบ้าน ต.เมืองชุม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ตนก็เลยตกลงร่วมทำธุรกิจกับเจ๊ ส. ได้ประมาณ 3 รอบ โดยทางเจ๊ ส. จะเป็นคนรวบรวมออเดอร์จากโรงงานและให้ตนไปรวบรวมผลผลิตมาส่งให้ ซึ่งทั้ง 3 รอบใช้เงินในการซื้อขายหลักหมื่นและไม่มีปัญหาอะไร แต่พอรอบที่ 4 เจ๊ ส. ก็ชักชวนให้ตนไปรับซื้อเมล็ดกาแฟที่ จ.เลย โดยเดินทางไปในวันที่ 1 ม.ค. 66 และตนได้เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวขับตามกันไปกับ เจ๊ ส. รวมเป็น 2 คัน เมื่อไปถึงจุดที่รับซื้อ ตนก็ไปรับซื้อเมล็ดกาแฟจากจุดดังกล่าวมาจำนวนหนึ่ง และเดินทางกลับมาที่เชียงรายในวันที่ 2 ม.ค. 66 เพื่อจะนำเมล็ดกาแฟที่รับซื้อมาไปให้โรงงานตรวจดูว่าผ่านมาตรฐานหรือไม่ เมื่อโรงงานได้ตรวจดูปรากฏว่าได้มาตรฐาน ตนจึงได้สั่งให้ เจ๊ ส. ที่ยังรออยู่ที่ จ.เลย ให้บรรทุกเมล็ดกาแฟมาให้อีก 1,500 กก. โดยโอนเงินไปให้ ในบัญชี เจ๊ ส. จำนวน 178,280 บาท ในวันที่ 3 ม.ค. 66 แต่หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้เมล็ดกาแฟตามที่ได้ตกลงซืัอขายไป ตนพยายามติดต่อทวงถามก็พยายามบ่ายเบี่ยงตลอด จึงคิดว่าถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไปอย่างแน่นอน รวมแล้วเฉพาะรายของตนสูญเงินไปประมาณ 220,000 บาท จึงลองสอบถามในแวดวงผู้ค้าขายเมล็ดกาแฟก็พบว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปหลอกเกษตรกรและผู้ประกอบการทั้งในพื้นที่ จ.เชียงราย และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง เท่าที่สอบถามเฉพาะกลุ่มที่พอรู้จักกันใน จ.เชียงราย ก็มีนับสิบราย ค่าเสียหายประมาณ 10 ล้านบาท ตนจึงได้ไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สภ.แม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย แล้ว

“ในกระบวนการทางคดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกบุคคลดังกล่าวมาให้ข้อมูล 3 ครั้ง แต่บุคคลดังกล่าวได้มาตามหมาย ต่อมา จนท.ตร.จึงออกหมายจับ ซึ่งก็สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีได้ แต่ต่อมาทางอัยการเห็นว่าสำนวนยังไม่รัดกุม จึงให้ทาง ตร. ผู้รับผิดชอบคดีกลับมาทำสำนวนใหม่ แต่ติดปัญหาที่เป็นช่วงจังหวะโยกย้ายของ สตช. พนักงานสอบสวนคนเก่าได้มีคำสั่งโยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ใน จ.เชียงใหม่ จึงต้องเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน จึงเป็นเหตุให้ส่งสำนวนไม่ทัน ตอนนี้จึงต้องออกหมายเรียกใหม่อีกครั้ง เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว”

ด้านนายฐากูร ยะแสง ส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นตัวแทนในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ กล่าวว่า ในวันนี้มีเกษตรกรมาร้องทุกข์กับตน ซึ่งเป็นกรณีเกี่ยวกับการฉ้อโกง ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ผู้รับซื้อเมล็ดกาแฟ รวมไปจนถึงโรงงานแปรรูปเมล็ดกาแฟ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการร้องเรียนดังกล่าวจะมีวิธีการคือ เข้ามาสร้างความสนิทสนมเชื่อใจ และหว่านล้อมให้กลุ่มคนที่ทำธุรกิจกาแฟให้ส่งของให้ มีผู้ได้รับความเสียหายสูญเงินหลักแสนหลักล้านจำนวนหลายราย ซึ่งตามปกติเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟถือเป็นกลุ่มเกษตรกรที่น่าสงสาร เพราะได้ผลผลิตแค่ปีละครั้ง แถมต้นทุนก็แพง กำไรน้อย แต่บุคคลนี้ใช้ความเชื่อใจหลอกเอาของๆเขาไป หรือหลอกเอาเงินที่เขาลงทุนซื้อของไปเป็นของตนเอง บางคนก็ไปรวบรวมผลผลิตจากญาติพี่น้องเพื่อนำไปส่งให้บุคคลดังกล่าวเพื่อต้องการกำไรแค่ 5 บ./กก. แต่กลับกลายเป็นว่าถูกบุคคลดังกล่าวเชิดของไป ไม่ได้เงินกลับมา เมื่อทวงถามไปเขาก็จะบอกว่าอีก 1-2 วัน หรืออีกประมาณอาทิตย์หนึ่งจะโอนไปให้ แต่ก็เป็นเพียงการพูดบ่ายเบี่ยงเฉยๆ และหลายๆคนที่ถูกหลอกไป ก็แค่ไปแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ ไม่ยอมไปแจ้งความดำเนินคดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เลยไม่ได้ดำเนินการไดๆต่อ ในความเป็นจริงเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงราย ก็น่าจะมีผู้เสียหายประมาณหลัก 100 ราย ยังไม่รวมจังหวัดอื่น ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้เข้าไปเสนอรับซื้อกาแฟและสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ ซึ่งก็โดนฉ้อโกงไปเช่นกัน ตนอยากให้คนที่ถูกโกงเหล่านี้มารวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะมีหลายคนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้อง ก็จะได้รับการชดใช้จากบุคคลดังกล่าว ทุกวันนี้เขาไม่ใช่ว่าจะไม่มีเงินมาจ่ายคืน แต่ปัญหาคือไม่มีคนออกมาเรียกร้อง หากมีผู้เสียหาย 100 คน แต่มีผู้ที่ออกมาฟ้องร้องแค่ 5 คน อีก 95 คนไม่ออกมาฟ้องร้อง เขาก็จะเลือกจ่ายแค่ 5 คนที่ฟ้องร้อง ส่วนอีก 95 คนที่ไม่ฟ้องร้องก็จะกลายเป็นผลกำไรของเขาไป

นายฐากูร เผยต่ออีกว่า จากการสอบถามเกษตรกรในเบื้องต้น ความเสียหายรวมทั้งประเทศน่าจะไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท ในพื้นที่ จ.เชียงราย ตนคิดว่าแทบทุกดอยน่าจะมีผู้เสียหายที่ถูกบุคคลดังกล่าวฉ้อโกงไป มีบุคคลทุกสาขาอาชีพ รวมไปถึงนักการเมืองด้วยที่ถูกโกงไป โดยอาศัยความเชื่อใจหรือแอบอ้างเอาบุคคลที่น่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักไปหลอกคนอื่นให้หลงเชื่ออีกที

“ตนจะไปรวบรวมหลักฐาน ยอดผู้เสียหาย และมูลค่าความเสียหายทั้งหมดอีกครั้ง และจะนัดให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมารับเรื่องต่อไป ว่าเราจะมีทางออกให้กับพ่อแม่พี่น้องที่ทำการเกษตรรวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟได้อย่างไรบ้าง ทำอย่างไรที่จะให้เขาสู้คดีได้ เพราะหลายคนที่ตนมีโอกาสพูดคุยเขาก็บอกมาตรงๆ ว่าเขาไม่มีเงินไปจ้างทนายความ เขาไม่รู้กฏหมาย เขาไม่รู้ว่าจะสู้คดีอย่างไร เพราะบุคคลที่มาโกงนี้เขารู้กฏหมาย เขารู้ช่องโหว่ และใช้ช่องโหว่ทางกฏหมายไปเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน แล้วชาวบ้านตาดำๆ จะเอาอะไรไปสู้กับเขา เพราะฉะนั้นกลไกหนึ่งในการต่อสู้ในมุมมองของตนก็คือผู้เสียหายต้องรวมตัวกันยื่นฟ้อง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับทุกคน” นายฐากูร กล่าว

ร่วมแสดงความคิดเห็น