ราคาทองคำประจำวันอังคาร ที่ 2 มกราคม 2567
สวัสดีปีใหม่ ปี 2567 ปีมังกรทองและหวังว่าจะเป็นปีที่ดีของทุกๆท่านหลังจากที่ปีที่แล้วเป็นปีที่ดีของทองคำทั้งทองตลาดโลก ทองแท่งในประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยมีมา ปิดสิ้นปี ราคาทองคำตลาดโลกอยู่ที่ 2,062ดอลลาร์ ให้ผลตอบแทน 13% ส่วนทองแท่งในประเทศปิดสิ้นปี 33,650 บาท ให้ผลตอบแทนเท่ากัน 13% ปีนี้ก็คงมีคำถามว่าราคาทองคำยังปรับตัวขึ้นได้ต่อไหมจะทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยมีมาได้หรือไม่ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ราคาทองคำก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยมีมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงเกิดวิกฤตโควิด ปี 2020 ราคาทองคำทำลายสถิติราคาสูงสุดที่ 2,075 ดอลลาร์ ในวันที่ 7 สิงหาคม ปี 2022 เกิดสงครามรัสเซียยูเครนราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉียดทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยมีมาที่ 2,069 ดอลลาร์ในวันที่ 8 มีนาคม ปี 2023 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยมีมา จำนวน 2 ครั้ง เกิดวิกฤติภาคธนาคารในสหรัฐฯและยุโรป แล้วก็มีการคาดการณ์ว่า “เฟด” อาจจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยทำให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยมีมาที่ 2,144 ดอนลาร์ ในวันที่ 4 พฤษภาคม แล้วก็ช่วงปลายปีวันที่ 4 ธันวาคม ราคาทองคำ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 2,144 ดอลลาร์ จากการที่คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เป็นขาลง สำหรับปีนี้ 2567 ก็คงมีปัจจัยที่สับสนทำให้ทองคำอาจจะไปได้ต่อแล้วก็มีโอกาสที่จะทำทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยมีมาได้ โดยมี 3 ประเด็นหลักที่ต้องติดตาม คือ ปัจจัยที่ 1. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง แรงกดดันเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มลดลงทำให้ธนาคารกลางชั้นนำไม่ว่าจะเป็น“เฟด” “อีซีบี” “บีโออี” ได้ยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นไปแล้วในปีที่แล้ว แล้วก็ปีนี้ก็คืออัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาลง ที่สำคัญน่าจะเป็น“เฟด” ที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่เป็นขาลงทำให้เงินดอลลาร์น่าจะมีทิศทางอ่อนค่าลงแล้วก็จะเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในมุมมองของตลาดก็คาดการณ์ว่า “เฟด” น่าจะลดดอกเบี้ยในปีนี้ถึง 6 ครั้ง ถึงแม้ว่าประมาณการอัตราดอกเบี้ยของ “เฟด” คาดการณ์ว่าจะลดดอกเบี้ยเพียง 3 ครั้งก็ตาม ปัจจัยที่ 2. ปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกตั้งทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเอเชีย สหรัฐฯและยุโรป มีการเลือกตั้งที่ “สหรัฐ” “อังกฤษ” “รัสเซีย” “อินเดีย”และไต้หวัน ดังนั้นความไม่แน่นอนจากผลการเลือกตั้งของหลายประเทศก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคที่ชนะการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจ การค้าต่างประเทศการเมืองระหว่างประเทศ ที่สำคัญก็คือน่าจะเป็นการเลือกตั้งของไต้หวัน แล้วก็การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ ในเดือนนี้ก็จะเป็นการเลือกตั้งของไต้หวันก็จะมี 2 ขั้วพรรคการเมืองก็คือในส่วนของพรรค DPP ก็จะเน้นนโยบายให้ไต้หวันเป็นสังคมประชาธิปไตย ส่วนอีกขั้วหนึ่งก็คือ ในส่วนของพรรคเคเอ็มที(KMT)แล้วก็พรรคทีพีพี(TPP)ตรงนี้มีจุดยืนต่ออนาคตของไต้หวันในทิศทางเดียวกันก็คือโครงสาธารณะไต้หวันที่เป็นอยู่แล้วก็จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนมากขึ้นตอนนี้ก็อาจจะทำให้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดความตึงเครียดระหว่างจีนและเกาะไต้หวันมากขึ้นได้ขึ้นอยู่กับพรรคไหนที่ชนะการเลือกตั้ง ส่วนช่วงปลายปีเป็นการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายการค้า การเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนว่าจะทำสงครามการค้าต่อหรือไม่ ตรงนี้ก็อาจจะมีผลแล้วก็จะมีความเสี่ยงต่อภูมิศาสตร์ได้ถ้าเกิดนโยบายในเรื่องของ การทหาร การเมือง ระหว่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ส่วนปัจจัยที่ 3 เป็นความต้องการจากธนาคารกลางที่แข็งแกร่งจากกระแสที่ยากที่จะลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์แล้วก็เข้าซื้อทองคำและเงินทุนสำรองมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกพากันเข้าซื้อทองคำ […]